บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับ 10 อันดับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก รวมทั้งประวัติ และผลงานที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาลมาฝากกันค่ะ จะมีท่านใดบ้างนั้น ตามมาดูพร้อมกันเลยค่ะ

 

10 อันดับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก

 

1. เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton)

 

 

เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็นลนักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลกจากแอปเปิ้ลที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ จนเกิดเป็น กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและกฎแรงโน้มถ่วงสากล จุดเริ่มต้นกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วง กฎการเคลื่อนที่ วิชาแคลคูลัสในวิชาคณิตศาสตร์ และทฤษฎีสี หลักสังเกตการหักเหของแสงจนเกิดสีรุ้ง

 

2. กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)

 

 

กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) เป็นนักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ชาวอิตาลี บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะตามที่ Nicolaus Copernicus Torinensis กล่าว รวมถึงจัดทำบทความดาราศาสตร์เกี่ยวกับการสำรวจดวงดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์ที่เขาค้นพบ (Sidereus Nuncius) สนับสนุนทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ (Heliocentrism) และทฤษฎีปล่อยมวลใด ๆ สองชิ้น เมื่อลงมาจะมีอัตราเร่งที่เท่ากันเสมอ (Gravity)

 

3. อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

 

 

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เชื้อสายยิว ผู้ค้นพบสมการที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องไปทั่วโลก นั่นคือ สมการ E=mc2 ใน “ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (Special Relativity Theory)” นอกจากนี้ยังค้นพบเรื่องแสงกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีแรงเอกภาพ แบบจำลองแก๊สของชเรอดิงเจอร์ ตู้เย็นไอน์สไตน์ และบอร์กับไอน์สไตน์

 

4. เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin)

 

 

เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) เป็นบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกาผู้ค้นพบไฟฟ้าในอากาศ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “นิวตันแห่งวงการไฟฟ้า” ด้วยวิธีการทดลองว่าวกลางสายฝน (Kite Experiment) จนสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า “สายล่อฟ้า” สิ่งประดิษฐ์อันน่าภาคภูมิใจที่ช่วยป้องกันฟ้าผ่าในวันฝนตกหนักได้

 

5. เชอร์ เจมส์ แชดวิก ( Sir James Chadwick)

 

 

เชอร์ เจมส์ แชดวิก ( Sir James Chadwick) เป็นนักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบอนุภาคหนึ่งในนิวเคลียสของอะตอม ได้แก่ นิวตรอน ด้วยการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาไปยังอะตอมต่าง ๆ และเป็นผู้คิดคำนวณมวลของนิวตรอน มีค่าเท่ากับ 1.675 X 10-24 กรัม

 

6. อเลสซานโดร โวลตา (Alessandro Volta)

 

 

อเลสซานโดร โวลตา (Alessandro Volta) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบไฟฟ้า ด้วยวิธีนำทองแดงกับสังกะสีจุ่มในน้ำยาเคมี เมื่อวัตถุทั้งสองชั้นทำปฏิกิริยาเคมีกันจึงเกิดไฟฟ้าขึ้น นำไปสู่การสร้าง ถ่านไฟฉายและแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ใช้ภายหลังได้ สิ่งประดิษฐ์ 2 ชิ้นนี้ของเขาถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

 

7. ริชาร์ด เทรวิทิก (Richard Trevithick)

 

 

ริชาร์ด เทรวิทิก (Richard Trevithick) เป็นวิศวกรชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นเครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูงและสร้างหัวรถไฟไอน้ำสำเร็จคนแรกของโลก จากความสนใจเครื่องจักรไอน้ำในวัยเด็กสู่การพัฒนาสร้างเครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูง ถือเป็นต้นแบบวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำที่ส่งทอดไปยังเหล่าวิศวกรรุ่นหลังในเวลาต่อมา

 

8. นีเซฟอร์ เนียปส์ (Nicéphore Niépce)

 

 

นีเซฟอร์ เนียปส์ (Nicéphore Niépce) เป็นนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศษ ผู้ค้นพบภาพถ่ายใบแรกของโลก เป็นภาพถ่ายใบแรกมีชื่อว่า ‘View from the Window at Le Gras’ ด้วยเทคนิคการบันทึกภาพจากวัตถุที่มีความไวต่อแสง วัสดุและกลไกแสงธรรมชาติทำให้ได้ภาพถ่ายจากการตั้งกล้องทิ้งไว้นานถึง 8 ชั่วโมง แต่ก็คุ้มค่าเพราะวิธีการดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ถ่ายภาพในอนาคต

 

9. อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell)

 

 

อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ค้นพบและจดสิทธิบัตร “โทรศัพท์เครื่องแรก” เครื่องมือสำคัญที่ปฏิวัติวงการสื่อสารไปทั่วโลก ด้วยเทคนิคการเปลี่ยนแปลงกระแสอิเล็กทรอนิกส์จากเครื่องส่งสัญญาณ ไปสู่การได้ยินเสียงคนอีกฟากด้วยคลื่นความถี่จากเครื่องรับสัญญาณ ต้นแบบแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารมาจนถึงปัจจุบัน

 

10. หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)

 

 

หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) เป็นนักเคมี และนักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า อหิวาตกโรค วัณโรค และโรคคอตีบ นอกจากนี้ผลงานสร้างชื่อที่ช่วยชีวิตผู้คนไว้ไม่น้อย คือ ค้นพบวิธีการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แบบพาสเจอร์ไรต์ ซึ่งช่วยป้องกันและฆ่าเชื้อโรคในอาหาร เป็นวิธีการถนอมอาหารให้อยู่ได้นานขึ้นนั่นเอง