การลดน้ำหนัก  หมายถึง การทำให้น้ำหนักที่เกินกว่าปกตินั้นลดลงเท่ากับปกติ โดยการใช้พลังงานที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันให้เหลือน้อยลง หรือหมดไปนั่นเองนะคะ

สาเหตุของการมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน

การมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน หรือเรียกง่ายๆว่า “อ้วน” นั้นมีสาเหตุสำคัญดังนี้นะคะ

– กรรมพันธุ์
– ภาวะทางร่างกาย
– ความผิดปกติของระบบการเผาผลาญพลังงานและการดูดซึมอาหารของร่างกายที่ขาดประสิทธิภาพ
– ภาวะทางจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวลซึ่งจะมีผลทำให้มีการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น
– การบริโภคอาหาร ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน อันเนื่องมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล
– การทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน

และในยุคปัจจุบันนี้ ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการแพทย์ จึงได้มีการทำบอลลูนในกระเพาะอาหาร หรือ gastric balloon เพื่อช่วยในการลดน้ำหนักขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะคะ

การทำบอลลูนในกระเพาะอาหาร คือการใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้เทคนิคการส่องกล้อง แล้วใส่น้ำเกลือเข้าไปในบอลลูนให้ขยายตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้กระเพาะรับอาหารได้น้อยลง ทำให้คนไข้รู้สึกอิ่มตลอดเวลานั่นเองค่ะ

 

 

 

ซึ่งวิธีนี้จะใช้ในการรักษาคนไข้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ช่วยในการลดน้ำหนัก ซึ่งเหมาะกับลดน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และจะใช้ระยะเวลาในการใส่บอลลูนประมาณ 6-12 เดือน หรือในกรณีน้ำหนักลดลงจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็สามารถเอาบอลลูนออกได้เลยค่ะ ไม่ได้ใส่ตลอดชีวิตนะคะ

 

การทำบอลลูนในกระเพาะอาหารเหมาะกับใครบ้างมาดูกันค่ะ

– คนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ค่า BMI เกิน 27
– และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น การนอนกรน การหยุดหายใจขณะหลับ อาการปวดเข่า เข่าเสื่อม โรคเบาหวาน

ผู้ที่ไม่ควรทำบอลลูนในกระเพาะอาหาร

• สตรีตั้งครรภ์หรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์
• มีความผิดปกติในหลอดอาหารทำให้ส่องกล้องลงไปไม่ได้ เช่น หลอดอาหารตีบตัน รั่ว ได้รับอุบัติเหตุกับหลอดอาหาร
• มีความผิดปกติในกระเพาะ เป็นแผลในกระเพาะ ตกเลือดในกระเพาะ มีภาวะกรดไหลย้อนอย่างรุนแรง
• มีภาวะอื่นๆ เช่น ภาวะเลือดออกง่าย เลือดแข็งตัวยาก แพ้ยางซิลิโคน หรือโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดติดเชื้อ ติดเชื้อในช่องท้อง
ประโยชน์ของการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
• ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
• สามารถลดอาการเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวกับภาวะน้ำหนักเกิน เช่น เบาหวาน ความดันสูง ข้อเข่าเสื่อม คอเลสเตอรอลในเลือดสูง
• เมื่อน้ำหนักลดลง ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีรูปร่างที่ดีขึ้น มีความมั่นใจ ส่งผลให้สุขภาพจิตดีขึ้นด้วย

 

ขั้นตอนการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร

• ตรวจร่างกายเบื้องต้นว่าคนไข้พร้อมที่จะรับการรักษาหรือไม่
• งดรับประทานอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และงดน้ำอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนทำการใส่บอลลูน
• ให้ยานอนหลับกับคนไข้ (*ไม่ใช้ยาสลบ)
• ส่องกล้องลงไปทางหลอดอาหารจนถึงกระเพาะ แล้วนำบอลลูนลงไปในตำแหน่งที่เหมาะสม
• ใส่น้ำเกลือเข้าไปในบอลลูนเพื่อให้ขยายกระเพาะ โดยปกติจะใส่น้ำเกลือประมาณ 350-500 CC

ผลข้างเคียงหลังใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร

• ในช่วง 1-3 วันแรก คนไข้อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร และรู้สึกอิ่มตลอดเวลา
• รับประทานอาหารได้น้อยลง เพราะตัวบอลลูนช่วยให้ความอยากอาหารลดลง
• ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ แต่สามารถออกกำลังกายแบบเบาๆ ได้

การปฏิบัติตัวหลังใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร

• แนะนำให้พบแพทย์ หลังเข้ารับการรักษา 1 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลการรักษา และควรพบแพทย์ทุก 4-6 เดือน ในกรณีที่น้ำหนักยังไม่ลดเป็นที่พอใจ แพทย์สามารถแนะนำให้เพิ่มขนาดบอลลูนได้อีก 100-200 CC
• บอลลูน สามารถเกิดการรั่วซึมได้ ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตสีของปัสสาวะอยู่เสมอ
• ควบคุมอาหาร เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลมากยิ่งขึ้น
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว

 

 

สรุปแล้วก็คือ การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร สามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ แต่ก็ต้องมีการควบคุมการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วยเช่นกันนะคะ เพื่อให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ

 

ที่มา : https://www.phyathai.com