บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี หนึ่งในสาเหตุโรคตับแข็งและมะเร็งตับกันนะคะ
“โรคตับอักเสบ” ที่เกิดจากไวรัส เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ละเลยในการป้องกัน แม้ไวรัสตับอักเสบบางชนิดจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งตับก็ตาม และที่น่ากังวลก็คือ การติดเชื้อไว้รัสตับอักเสบนั้น สามารถติดต่อได้ง่ายจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันเลยทีเดียวนะคะ
รู้จัก “ไวรัสตับอักเสบ”เชื้อร้ายที่อาจทำให้คุณเป็นมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบมีอยู่หลายชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี และอี แต่ชนิดที่มีอันตรายและได้ยินกันคุ้นหูก็คือ ไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งไม่ว่าใครที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าสู่ร่างกาย ก็มีโอกาสที่ไวรัสจะค่อยๆ เติบโตและพัฒนาไปเป็นไวรัสที่สมบูรณ์ในตับ ก่อนจะแพร่กระจายสู่กระแสเลือดได้นั่นเองค่ะ
นอกจาก ไวรัสตับอักเสบบี จะทำให้เกิดโรคตับอักเสบจนมีภาวะป่วยเรื้อรังแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะตับแข็ง และนำไปสู่การเป็น โรคมะเร็งตับ ได้อีกด้วยนะคะ นพ.สิริพงษ์ โสภิตภักดีพงษ์ อายุรแพทย์ประจำศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 บอกว่า
“เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือเป็นโรคตับแข็งแล้ว จะนำไปสู่การเป็นโรคตับอื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งยังเป็นมะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้ยากอีกด้วย”
ไวรัสตับอักเสบบี สามารถแพร่หรือส่งผ่านจากคนสู่คน โดยมักพบในเลือดและสารคัดหลั่ง จึงติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างง่ายๆ รวมถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก การสักตามร่างกาย และการเจาะหู เป็นต้น
ในระยะเริ่มต้นของการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการหรือความผิดปกติใดๆ แต่หากเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แน่นท้อง เหนื่อยง่าย ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลืองเมื่อไหร่ แสดงว่าเซลล์ตับถูกทำลายไปมากแล้ว ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเมื่อนานมาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากมีอาการเมื่อไหร่ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ
ลดความเสี่ยง…ด้วย “วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี”
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในวัคซีนพื้นฐานที่ทารกทุกคนจะได้รับ จึงช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก ส่วนในวัยรุ่นอายุ 11-15 ปี ที่เกิดก่อนปี 2535 และยังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้ จะมีการให้แบบ 2 เข็มโดยห่างกัน 6 เดือน และผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จะฉีดวัคซีนครั้งละ 1 มล. ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานกว่า 10 ปี
ทั้งนี้ ก่อนฉีดวัคซีน จะต้องตรวจสอบว่ามีประวัติการแพ้วัคซีนหรือส่วนประกอบของวัคซีนหรือไม่ และต้องไม่ลืมว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีป้องกันได้เพียงไวรัสตับชนิดบีเท่านั้น หากต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นๆ ก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยนั่นเองค่ะ