มือถือเป็นอีกหนึ่งไอเทมคู่กาย ของคนในยุคนี้เลยก็ว่าได้นะคะ มีติดตัวกันเกือบทุกเพศทุกวัยกันเลยค่ะ มือถือที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แม้จะดูเหมือนว่าไม่มีอันตรายแต่อย่างใดแต่อย่างที่หลายคนทราบว่า แบตเตอรี่ของมือถือนั้นสามารถเกิดการระเบิดได้นะคะ หากชาร์จไม่ถูกวิธี หรือแบตเสื่อมสภาพก็เกิดการระเบิดขึ้นได้ว่ากันไปเป็นกรณีไปค่ะ ดังนั้นบทความนี้ จึงจะมาแนะนำ ถึงวิธีการชาร์จแบตมือถือที่ถูกต้อง ว่าสิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนที่ไม่ควรทำ และแนะนำการชาร์ตมือถือมือถือ อย่างไรให้ถูกวิธี และไม่เสี่ยงต่อ การระเบิด รวมทั้งช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ เพื่อไม่ให้เสื่อมเร็วอีกด้วยนะคะมือถือและแท็บเล็ตในปัจจุบันนี้ จะมีระบบตัดไฟ เมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% แล้ว และจะใช้ระบบการต่อไฟตรง เหมือนกับที่เราเห็นปรากฏขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่าบนหน้าจอนั่นเองค่ะ เพื่อถนอมมือถือของเราให้สามารถใช้ได้นาน แต่ถ้าหากแบตเตอรี่ ลดลงเพียง 1% มันก็จะทำการชาร์จใหม่โดยทันที จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหน ในขณะที่ชาร์จแบตอยู่นั้น เปอร์เซ็นต์แบตก็จะเต็มตลอดเลยนะคะ ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 90% ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วยนะคะ

 

ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กออกเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-60% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุดเลยค่ะ ต่อไปมาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการชาร์จแบตเตอรี่มือถือมีอะไรบ้างค่ะ

 

 

 

5 วิธีการชาร์จแบตมือถือที่ถูกต้อง

 

1. ไม่ชาร์จมือถือค้างเอาไว้ตลอดคืนจนถึงเช้านะคะ เนื่องจากเสี่ยงกับการระเบิดของแบตเตอรี่ และอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวมได้ค่ะ

 

 

2. ไม่ควรชาร์จมือถือจน แบตเตอรี่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากจะทำให้แบตเสื่อมอ ย่างรวดเร็วนั่นเองค่ะ เปอร์เซ็นที่ควรชาร์จคือ เมื่อแบตเหลือน้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ให้เราชาร์จไฟเข้าไปเพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เพียงพอค่ะ

 

 

3. การชาร์จะแบตเตอรี่มือถือบ่อยๆนั้น มีผลดีกว่าการรอให้แบตเหลือน้อยแล้วจึงชาร์จ เนื่องจากมีการวิจัยบอกว่า ควรให้มือถือมีแบตอยู่ราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์ จะดีที่สุดค่ะ

 

 

4. หากมือถือมีอุณหภูมิสูง หรือร้อนขึ้น ให้ทำการถอดเคสมือถือออกก่อน แล้วจึงเสียบไฟชาร์จแบต เพื่อช่วยระบายความร้อนของมือถือ และอย่าเล่นมือถือในขณะที่กำลังชาร์จไฟอยู่ รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้มือถือได้รับความร้อนจากที่ต่างๆ เนื่องจากมือถือนั้นเป็นตัวเก็บพลังงานไฟฟ้า เมื่อต้องเจอกับความร้อนสูงแล้ว จะกลายเป็นตัวจุดระเบิดได้ และหากอยู่ใกล้กับวัตถุไวไฟ ก็จะกลายเป็นชนวนให้เกิดไฟไหม้ได้เลยทีเดียวค่ะ

 

 

5. เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับมือถือทุกอย่างตั้งแต่ตัวมือถือ สายชาร์จ พาวเวอร์แบงค์ หรือแม้แต่ ปลั๊กไฟ ปลั๊กพ่วงที่ใช้อยู่ ก็ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเช่นกันค่ะ หากเป็นอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานและ ราคาถูก ก็อาจจะกลายเป็น ต้นเหตุให้เกิดการ ช็อตและเกิดการระเบิดขึ้นได้ค่ะ ดังนั้นความใส่ใจในการใช้งานมือถือทุกอย่าง จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดค่ะ

 

 

 

จะเห็นได้ว่ามือถือเพียงเครื่องเดียวนั้น ก็อาจสามารถทำให้เราได้รับอันตรายร้ายแรงหรือ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ ดังนั้นการมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้งาน จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ และปกป้องไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเรา และคนในครอบครัวด้วยนะคะ

 

มีข้อมูลว่าฝเราควรชาร์จแบตเตอรี่มือถือ และแท็บเล็ตก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70% ( 1C ) จะดีที่สุดค่ะ แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60% ( 2C) ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ค่ะ โดยผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุไว้ว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับต่ำกว่า 30% ( 3C ) จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ประมาณ 300 รอบ ( Cycle ) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) เลยทีเดียวนะคะ ดังนั้นจึงไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเองค่ะ เพราะแบตเตอรี่จะเสื่อมเร็ว และควรหลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้นด้วยนะคะ อย่าทำมือถือตกบ่อยๆ มันไม่ดีค่ะ เพราะอาจจะเป็นสาเหตุทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ค่ะ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือ หรือแท็บเล็ตมีปัญหาได้นั่นเองค่ะ