บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง การหาผิวหนังมาปกปิดบาดแผลกว้าง ( Skin Grafts) กันนะคะ

การทำ Skin Grafts คือการปลูกถ่ายผิวหนัง เป็นการนำผิวหนังของร่างกายจุดหนึ่ง (จากส่วนที่บริจาค) มาปลูกถ่ายลงในอีกจุดหนึ่งที่มีการสูญเสียผิวหนัง ผิวหนังที่ถูกย้ายนี้เรียกว่าผิวหนังที่ได้รับปลูกถ่าย จะทำในกรณีที่คนไข้ได้รับบาดเจ็บ และมีบาดแผลที่กว้างเกินไป จนไม่สามารถเย็บปากแผลเข้าหากันได้

 

 

 

การปลูกถ่ายผิวหนัง โดยทั่วไปมี 2 ชนิด ได้แก่

1. การปลูกถ่ายแบบแยกชั้นความหนา คือ การนำผิวหนังชั้นนอกสุดและผิวหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นบนของผิวหนังจากจุดที่มีการบริจาค ผิวหนังที่นำมาจากจุดนั้นมักครอบคลุมบริเวณกว้าง บอบบาง และมีลักษณะเรียบ เป็นมันวาว การปลูกถ่ายแบบแยกชั้นความหนาจะไม่เติบโตไปพร้อมกับผิวหนังโดยรอบ ดังนั้นผู้ป่วยเด็กจะต้องปลูกถ่ายผิวหนังเพิ่มเติมเมื่ออายุเพิ่มขึ้น

2. การปลูกถ่ายผิวหนังแบบเต็มความหนา โดยมีการนำกล้ามเนื้อ เส้นเลือดและผิวหนังชั้นบนสุดไปทำการปลูกถ่าย การปลูกถ่ายประเภทนี้มักกินพื้นที่บริเวณน้อยในบริเวณของร่างกายที่สามารถมองเห็นได้ง่าย เช่น ใบหน้า ผิวหนังที่ได้รับการปลูกถ่ายจะกลมกลืนกับผิวรอบๆ และเจริญเติบโตตามอายุของผู้ป่วย

 

จุดประสงค์ และประโยชน์ของการทำหัตถการ

 

 

กรณีที่การบาดเจ็บของผิวหนังมีบริเวณกว้าง แผลเปิดมีขนาดใหญ่ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาจทำให้การหายของแผลเกิดเป็นแผลเป็นนูนและดึงรั้งในที่สุด นอกจากนี้การรักษาบาดแผลที่ใช้เวลานาน ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดแผลติดเชื้อ ซึ่งทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษา การปลูกถ่ายผิวหนังช่วยให้แผลปิดเร็วขึ้น ลดการติดเชื้อ และป้องกันการเกิดแผลเป็นดึงรั้ง

แพทย์จะพิจารณาการปลูกถ่ายผิวหนังในกรณีดังต่อไปนี้

– แผลไฟไหม้

– การติดเชื้อที่ทำให้เกิดการสูญเสียผิวหนังเป็นบริเวณกว้าง

– การผ่าตัดมะเร็งผิวหนัง

– การผ่าตัดชนิดอื่นๆ ซึ่งจำเป็นต้องมีการปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อการฟื้นฟูสภาพผิว

– แผลเรื้อรังที่เกิดจากหลอดเลือดดำเสื่อม แผลกดทับ หรือแผลเรื้อรังจากโรคเบาหวานที่ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูสภาพได้เอง

– แผลขนาดใหญ่ และ/หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรง

– เหตุผลด้านความสวยงาม หรือศัลยกรรมเสริมสร้างที่มีการบาดเจ็บหรือสูญเสียผิวหนัง

– เมื่อแพทย์ไม่สามารถปิดแผลได้อย่างปกติ โดยเฉพาะระหว่างการผ่าตัด

 

ความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อน และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากการทำหัตถการและระหว่างพักฟื้นหลังทำหัตถการ

– อาการเลือดออก

– อาการเจ็บปวดเรื้อรัง

– การติดเชื้อ

– สูญเสียผิวหนังที่ได้รับการปลูกถ่ายเนื่องจากแผลไม่สมานตัวหรือสมานตัวช้าเกินไป

– สูญเสียความไวในการรับความรู้สึก มีความไวในการรับความรู้สึกลดลงหรือเพิ่มขึ้น

– การเกิดแผลเป็น

– สีผิวไม่สม่ำเสมอ

– ผิวหนังไม่เสมอกัน

– ผลข้างเคียงของยาระงับความรู้สึก

คำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางก่อนและหลังการทำหัตถการ

 

 

– ก่อนการเดินทางมารักษา ถ้าผู้ป่วยรับประทานยาละลายลิ่มเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์เพื่อหยุดยา

– ผู้ป่วยชาวต่างชาติควรอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยหลังทำหัตถการหรือระยะเวลาการรักษา

– หากท่านมีแผนการเดินทางหลังทำหัตถการ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนทำการจองการเดินทาง ผู้ป่วยสามารถเดินทางโดยสารโดยเครื่องบินได้ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ

– ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายและดูแลแผลผ่าตัดในวันนัด รวมถึงได้รับเอกสารสรุปประวัติการรักษา เอกสาร Fit to Fly (ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ก่อนขึ้นเครื่อง)

โอกาสสำเร็จจากการทำหัตถการ

โอกาสสำเร็จขึ้นกับปัจจัยหลายประการ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์

หากไม่ทำหัตถการนี้จะเกิดอะไรขึ้น

หากการปลูกถ่ายผิวเป็นทางเลือกทางเดียวในการรักษาและผู้ป่วยเลือกที่จะไม่เข้ารับการรักษา พื้นที่บริเวณที่ผิวสูญเสียผิวหนังหรือผิวหนังได้รับความสูญหายจะถูกเปิดโล่งหรือยังคงบาดเจ็บ ทำให้เกิดความเจ็บปวดและติดเชื้อ บางครั้งอาจมีความรุนแรงถึงชีวิต

 

ทางเลือกอื่นในการรักษา

ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ผิวสังเคราะห์ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่เป็นแผลเรื้อรังได้บ่อยกว่าแผลไฟไหม้ เนื้อเยื่อสังเคราะห์นี้สามารถทำหน้าที่ทดแทนผิวที่ได้รับความเสียหายขณะที่เซลล์ผิวใหม่กำลังสร้างขึ้น ทางเลือกในการรักษาอื่นอาจใช้การรักษาโดยวิธีการใช้แรงดันลบซึ่งสามารถช่วยในการรักษาแผลสด แผลเรื้อรัง และแผลไฟไหม้ระดับที่ 1 และ 2 แผ่นปิดแผลกันน้ำสูญญากาศที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษเพื่อกำจัดของเหลวออกจากแผล กระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนสู่แผล เมื่อการไหลเวียนเลือดกลับมาเป็นปกติและกระบวนการฟื้นตัวของร่างกายเริ่มทำงาน การปิดแผ่นโฟมปิดแผลด้วยผ้าพันแผลจะช่วยให้ผิวมีการรักษาตัวโดยไม่ต้องมีการใช้ผิวจากส่วนอื่นของร่างกาย ในบางกรณี ผิวที่ได้รับความเสียหายสามารถฟื้นฟูสภาพได้เอง