บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง 10 อันดับประเทศที่สะอาดที่สุดในโลก ปี 2025 กันนะคะต้องบอกเลยนะคะว่า ประเทศที่สะอาด ไม่ใช่แค่ไม่มีขยะหรืออากาศสดชื่นเท่านั้นนะคะ แต่ต้องมีระบบพื้นฐานที่ยั่งยืนอีกด้วยค่ะ
โดยจะมีเกณฑ์การประเมิน “Clean Score” ประเมินจาก 4 ด้านหลัก ได้แก่
1. คุณภาพอากาศ (30%)
2. น้ำ (25%)
3. การจัดการขยะ (25%)
4. สุขอนามัย (20%)
ใช้ข้อมูลปี 2024 จากแหล่งข้อมูลระดับโลก เช่น IQAir, WHO/UNICEF และดัชนี EPI ของเยลล์ ประเทศที่สะอาดไม่ใช่เพียงสถานที่ที่ปราศจากขยะตามท้องถนนหรือมีกลิ่นอากาศสดชื่นเท่านั้น แต่ควรประกอบไปด้วยระบบพื้นฐานที่ยั่งยืน เช่น คุณภาพอากาศที่ดี น้ำดื่มที่ปลอดภัย การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงสุขอนามัยที่เหมาะสมสำหรับทุกคน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรค แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ประเทศที่สามารถรักษาความสะอาดในระดับโครงสร้างได้ จึงมักเป็นประเทศที่มีสุขภาวะประชาชนดี มีความน่าอยู่ และเป็นต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสายตาประชาคมโลก พร้อมแล้วตามมาดูกันเลยค่ะว่า 10 อันดับประเทศที่สะอาดที่สุดในโลก ปี 2025 จะมีประเทศไหนกันบ้างนะคะ
10 อันดับประเทศที่สะอาดที่สุดในโลก ปี 2025

อันดับ 1: ไอซ์แลนด์
อากาศ: 4
น้ำ: 3
ขยะ: 5
สุขอนามัย: 2
คะแนนรวมความสะอาด: 3.6
ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนสันกลางแอตแลนติก จึงใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งให้ความอบอุ่นบ้านเรือนและละลายหิมะบนถนน ลมทะเลแอตแลนติกช่วยให้อากาศสะอาด น้ำประปามาจากแหล่งภูเขาไฟธรรมชาติที่สะอาดและไม่ต้องผ่านการบำบัดด้วยสารเคมี ระบบจัดการขยะของประเทศมีคุณภาพสูง ขยะส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ขณะที่จุดรีไซเคิลรองรับตั้งแต่ตาข่ายประมงถึงยางรถยนต์ โดยใช้พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ ระบบท่อระบายน้ำครอบคลุมทั่วชนบท ช่วยรักษาลำธารให้ใสสะอาด เหมาะสำหรับปลาแซลมอนตามธรรมชาติ
อันดับ 2: สวิตเซอร์แลนด์
อากาศ: 5
น้ำ: 3
ขยะ: 5
สุขอนามัย: 2
คะแนนรวมความสะอาด: 3.9
หุบเขาแอลป์ของสวิตเซอร์แลนด์เลือกใช้รถไฟไฟฟ้าแทนรถบรรทุก เพื่อขนส่งสินค้าสู่ใจกลางผ่านอุโมงค์ฐานที่สร้างไว้ ค่าไฟฟ้าส่วนหนึ่งมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน ทะเลสาบของประเทศกลายเป็นแหล่งน้ำดื่มใสสะอาด ผ่านการกรองด้วยรังสียูวี กระเป๋าขยะ “จ่ายเท่าทิ้งเท่านั้น” (pay‑as‑you‑throw) ทำให้ประชาชนแยกขยะอย่างเป็นระบบ รีไซเคิลแก้ว กระดาษ และโลหะ โรงเผาขยะดักจับก๊าซเสียแล้วส่งไอน้ำต่อไปยังโรงงานช็อกโกแลต ระบบบำบัดน้ำเสียมีขั้นตอนเพิ่มเพื่อกำจัดสารยาปฏิชีวนะก่อนปล่อยทิ้ง และกระท่อมบนภูเขาทุกหลังต้องนำขยะทั้งหมดกลับลงมาด้วย ช่วยปกป้องต้นน้ำและหิมะบนยอด แม้แต่จุดพักริมทางหลวงยังสะอาด ไม่มีเศษขยะ เผยให้เห็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ อันดับ
3: นิวซีแลนด์
อากาศ: 5
น้ำ: 4
ขยะ: 6
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 4.6
นิวซีแลนด์เป็นดินแดนที่โอบล้อมด้วยลมแปซิฟิกบริสุทธิ์ ที่พัดพาควันและมลพิษทั้งหมดออกไปให้ไกลจากชายฝั่ง ที่นี่พลังงานหลักมาจากเขื่อนน้ำและพลังงานความร้อนใต้พิภพ ทำให้ปล่องไฟแทบไม่ต้องสูบบุหรี่เลย ฝูงวัวนมเล็มหญ้าอย่างมีมาตรฐานจำกัดสารอาหาร เพื่อรักษาคุณภาพน้ำในแม่น้ำที่นักตกปลาชื่นชอบ เทศบาลจัดถังขยะแยกประเภทอย่างเป็นระบบ ทั้งขวดแก้ว กระดาษ และเศษอาหาร เพื่อโลกที่สะอาด National Parks เข้มงวดห้ามใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำให้เส้นทางเดินป่าเป็นที่สงบและสะอาดสำหรับนักเดินทาง ระบบบำบัดน้ำเสียถูกตรวจสอบและปิดผนึกอย่างดี เพื่อปกป้องน้ำบาดาลในชุมชนชนบท ผลลัพธ์ที่ได้คือการท่องเที่ยวที่คุณสามารถสัมผัสได้ด้วยปอดที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ และดื่มน้ำใสสะอาดจากธรรมชาติ
อันดับ 4 (ร่วม) : ฟินแลนด์
อากาศ: 6
น้ำ: 4
ขยะ: 6
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 4.9
ป่าบอเรียลของฟินแลนด์ ป่าสนที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ ปกคลุมพื้นที่ถึงสามในสี่ของประเทศ ช่วยดูดซับฝุ่นละอองละเอียดอย่างมีประสิทธิภาพ โรงไฟฟ้ารวมความร้อนและพลังงานเผาชีวมวลด้วยระบบกรองที่เข้มงวด น้ำในทะเลสาบผ่านกระบวนการกรองด้วยทรายง่ายๆ จนได้คุณภาพน้ำดื่มตรงถึงก๊อกบ้าน ชุมชนท้องถิ่นรับแบตเตอรี่ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และยางรถยนต์อย่างฟรีๆ เพื่อให้เกิดการจัดการขยะอย่างยั่งยืน บ้านพักตากอากาศต้องติดตั้งห้องน้ำแบบแห้งปิดมิดชิด หรือเชื่อมต่อกับระบบบำบัดน้ำเสียเต็มรูปแบบ เพื่อลดสารอาหารรั่วไหลลงสู่ธรรมชาติ กฎสำหรับผู้ผลิตยังบังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องร่วมรับผิดชอบในจัดเก็บบรรจุภัณฑ์อีกด้วย เด็กๆ เรียนรู้การทำปุ๋ยหมักตั้งแต่ประถม และร่วมกันจับผิดขยะตามสนามเด็กเล่น สร้างสังคมสะอาดน่าอยู่ตั้งแต่ต้น
อันดับ 4 (ร่วม) : เดนมาร์ก
อากาศ: 6
น้ำ: 4
ขยะ: 6
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 4.9
กังหันลมตั้งอยู่รอบทะเลเหนือ ช่วยผลิตไฟฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของเดนมาร์ก ในโคเปนเฮเกน น้ำเสียทุกหยดถูกทำความสะอาดอย่างดี และกากตะกอนถูกแปลงเป็นก๊าซชีวภาพ ใช้ขับรถบัสในเมือง ขวดน้ำและบรรจุภัณฑ์กว่า 92% ถูกส่งกลับไปที่ร้านค้าเพื่อรีไซเคิล การแยกขยะอาหารเป็นเรื่องที่ต้องทำ เพื่อเอาขยะมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน น้ำประปาผ่านการกรองด้วยทรายลึก ทำให้คนไม่ต้องซื้อขวดน้ำดื่มบ่อยๆ ในใจกลางเมืองมีทางจักรยานมากกว่าทางรถยนต์ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ขยะส่วนใหญ่ถูกนำไปเผาเป็นพลังงาน ทำให้แทบไม่มีขยะถูกฝังในดินเลย
อันดับ 4 (ร่วม) : นอร์เวย์
อากาศ: 6
น้ำ: 4
ขยะ: 6
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 4.9
นอร์เวย์ได้รับคะแนนด้านมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) สูงถึง 90.9 จากการประเมินของ EPI ซึ่งสะท้อนว่าอากาศในประเทศมีคุณภาพดีและมลพิษต่ำอย่างมาก นอกจากนี้ ระบบน้ำสะอาดและสุขาภิบาลของนอร์เวย์ก็ถือว่ายอดเยี่ยม โดยได้คะแนนในหมวด Sanitation & Drinking Water สูงถึง 97.6 แสดงถึงมาตรฐานที่ดีเยี่ยมและตอบโจทย์ด้านสุขภาพประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เมืองเบอร์เกนของนอร์เวย์ยังมีนวัตกรรมด้านการจัดการขยะที่น่าสนใจ โดยติดตั้งระบบท่อดูดขยะใต้ดินแบบนิวเมติก ซึ่งช่วยดูดขยะจากบ้านเรือนไปยังจุดรวบรวมกลางโดยไม่ต้องใช้รถเก็บขยะ ลดมลพิษทางอากาศ และเพิ่มอัตราการรีไซเคิลขึ้นถึง 15%
ทั้ง นอร์เวย์ยังใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังน้ำ (hydropower) เกือบ 100% ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ทั้งการควบคุมมลพิษจากอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ
อันดับ 7: สวีเดน
อากาศ: 7
น้ำ: 4
ขยะ: 5
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 5.0
เมืองทางใต้อย่างมาลเมอถึงเมืองเหนืออย่างคิรูนา ใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำเป็นหลัก ทำให้อากาศสะอาดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ นโยบายด้านยานพาหนะที่เข้มงวดบังคับใช้ตัวกรองไอเสียและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ จึงช่วยลดหมอกควันในเขตเมืองได้อย่างเห็นผล น้ำประปาที่ไหลจากแหล่งน้ำธารน้ำแข็งธรรมชาติมีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องใช้คลอรีน กลิ่นรสสะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภค ในด้านการจัดการขยะ สวีเดนแทบไม่ต้องพึ่งพาพื้นที่ฝังกลบ โดยมีขยะเพียง 1% เท่านั้นที่ถูกส่งไปฝังกลบ ที่เหลือถูกรีไซเคิลหรือนำไปใช้ผลิตพลังงานความร้อนเพื่อนำกลับมาใช้ในระบบทำความร้อนในเมือง อีกทั้งยังมีการจัดเก็บภาษีการฝังกลบขยะเพื่อนำมาสนับสนุนศูนย์รีไซเคิลซึ่งมีให้บริการฟรีแม้ในหมู่บ้านขนาดเล็ก โรงเรียนในประเทศยังมีบทบาทในการสร้างจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น มีแปลงปุ๋ยหมักให้เด็กเรียนรู้การจัดการเศษอาหาร และให้นักเรียนร่วมตรวจสอบปริมาณขยะที่โรงเรียนสร้างขึ้น
นอกจากนี้ ในฤดูหนาวยังมีการรณรงค์ล้างมือในระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถราง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคในพื้นที่ปิด ซึ่งแสดงถึงการบูรณาการระหว่างสุขาภิบาลและวัฒนธรรมด้านสุขภาพที่เข้มแข็งของสวีเดน
อันดับ 8: ออสเตรเลีย
อากาศ: 7
น้ำ: 5
ขยะ: 7
สุขอนามัย: 3
คะแนนรวมความสะอาด: 5.7
ออสเตรเลียมีคุณภาพอากาศและระบบสาธารณูปโภคที่โดดเด่น ประชากรส่วนใหญ่อาศัยตามชายฝั่งที่มีลมถ่ายเทดี พร้อมกฎจำกัดรถยนต์ที่ช่วยลดฝุ่น PM2.5 หนึ่งในสามของบ้านเรือนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ลดการใช้พลังงานจากแก๊ส โรงผลิตน้ำสามารถส่งน้ำสะอาดไปถึงเขตแห้งแล้งอย่างอลิซสปริงส์ได้อย่างปลอดภัย แสดงถึงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง ด้านการจัดการขยะ ออสเตรเลียมีระบบคืนขวดที่ทำให้อัตรารีไซเคิลเกิน 80% หลุมฝังกลบถูกควบคุมอย่างดี พร้อมระบบเผาแก๊สมีเทนผลิตพลังงาน เศษอาหารถูกรวบรวมผ่านถังขยะสีเขียวและส่งไปย่อยเป็นก๊าซชีวภาพที่ใช้กับรถโดยสาร เมืองใหญ่ยังออกแบบถนนให้ป้องกันน้ำเสียไหลลงทะเล ทำให้ชายหาดสะอาด เหมาะแก่การพักผ่อนและอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน
อันดับ 9: เอสโตเนีย
อากาศ: 6
น้ำ: 5
ขยะ: 8
สุขอนามัย: 4
คะแนนรวมความสะอาด: 5.9
เอสโตเนียมีส่วนผสมผสานระหว่างทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และแนวทางบริหารจัดการที่ทันสมัย ประเทศเล็กๆ ริมอ่าวฟินแลนด์แห่งนี้มีผืนป่าสนเขียวขจีโอบล้อมเมืองต่างๆ ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมหนักในยุคโซเวียตไปสู่พลังงานสะอาด เช่น แอลเอ็นจี โรงไฟฟ้าพลังลม และการลดการใช้พีต (peat) ซึ่งช่วยลดมลพิษจากปล่องควันสีดำที่เคยปกคลุมเมืองในอดีตได้อย่างชัดเจน การจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกตั้งแต่ปี 2017 ทำให้ขยะตามถนนลดลงเกือบทันที และเงินทุนจากสหภาพยุโรปก็ช่วยพัฒนาระบบท่อน้ำเสียใต้เมืองทาลลินน์และโรงบำบัดน้ำที่ทันสมัยใต้ทะเล ในด้านการจัดการขยะ เอสโตเนียพึ่งพาโรงงานแปรรูปขยะเป็นพลังงานซึ่งสามารถเผาไหม้ขยะ ผลิตความร้อน และควบคุมไอเสียไม่ให้ก่อมลพิษ ชุมชนทั่วประเทศมีวัฒนธรรม “วันทำความสะอาด” เดือนละครั้ง ซึ่งโรงเรียน บริษัท และประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน นอกจากนี้ รัฐยังมีระบบติดตามรถบรรทุกขยะด้วย GPS เพื่อป้องกันการทิ้งขยะผิดกฎหมายในป่า ส่งผลให้การทิ้งขยะในที่สาธารณะกลายเป็นเรื่องที่พบได้ยาก การควบคุมสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพนี้ผสานกับเทคโนโลยีและจิตสำนึกสาธารณะ ทำให้เอสโตเนียกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สะอาดและยั่งยืนที่สุดในยุโรปยุคใหม่
อันดับ 10: สิงคโปร์
อากาศ: 8
น้ำ: 5
ขยะ: 7
สุขอนามัย: 4
คะแนนรวมความสะอาด: 6.2
สิงคโปร์มีการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะเป็นประเทศเกาะขนาดเล็ก แต่สิงคโปร์สามารถควบคุมปริมาณรถยนต์ด้วยนโยบายจำกัดการเติบโตของรถส่วนบุคคลและบังคับใช้มาตรฐานไอเสีย Euro VI อย่างเข้มงวด เพื่อลดมลพิษทางอากาศ ในด้านน้ำดื่ม ประเทศพึ่งพาทั้งระบบแยกเกลือออกจากน้ำทะเลและน้ำรีไซเคิลจากระบบ NEWater เพื่อรับมือกับภัยแล้งและปกป้องความมั่นคงด้านน้ำ ขยะจากถังที่มีฝาปิดทั่วเมืองถูกส่งเข้าสู่โรงงานแปรรูปพลังงาน 4 แห่ง ซึ่งควบคุมทั้งเขม่าฝุ่นและขี้เถ้าได้อย่างเข้มงวด ระบบจัดการขยะในอาคารสูงของสิงคโปร์ก็มีความทันสมัย โดยใช้ท่อดูดแบบนิวเมติกช่วยลดปัญหาแมลงและหนู ขณะที่กฎหมายมัดจำบรรจุภัณฑ์จะเริ่มใช้ในปี 2025 เพื่อยกระดับอัตราการรีไซเคิลที่เคยลดลงก่อนหน้านี้ ความสะอาดของพื้นที่สาธารณะยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น การตรวจสอบศูนย์อาหารรายสัปดาห์เพื่อรักษาความปลอดภัยด้านอาหารและส่งเสริมการล้างมือ ส่วนลำคลองและพื้นที่ริมถนนยังคงสะอาดปราศจากขยะด้วยระบบปรับโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเคร่งครัดและวัฒนธรรมการเปิดเผยพฤติกรรมในที่สาธารณะ
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างกฎหมายที่เด็ดขาด เทคโนโลยี และวินัยของประชาชนในการรักษาความสะอาดของเมืองอย่างยั่งยืน

