ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ เปิดตัว ‘A-D Sky Park’ สวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นการปรับปรุงพื้นที่ดาดฟ้าอาคารจอดรถ A และ D ให้เป็นลานกิจกรรมและสวนสาธารณะ ตัวอาคารจอดรถได้รับการพัฒนาให้เป็น ‘ฟองน้ำยักษ์’ (Sponge Parking) เพื่อทำหน้าที่กักเก็บและนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ ลดการปล่อยน้ำทิ้งสู่ภายนอก
โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพลิกโฉมศูนย์ราชการฯ สู่การเป็นต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดปัญหาความร้อน และส่งเสริมความยั่งยืนนะคะ ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ซีเมนต์และคอนกรีต ยากจะหาพื้นดินและสวนสาธารณะ จึงมีการสร้างสรรค์นำนวัตกรรม และธรรมชาติเข้ามาผสมกลมกลืนออกแบบเกิดเป็น สวนลอยฟ้า เกิดขึ้นมานั่นเองค่ะ
หลายเมืองทั่วโลกกำลังเร่งหาวิธีบรรเทาผลกระทบของภาวะโลกรวน เมืองหลวงของไทยจึงเปลี่ยนศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ให้กลายเป็น เมืองยั่งยืน เปิดตัว สวนลอยฟ้าใหญ่ที่สุดในไทย “ A-D Sky Park “ และ ฟองน้ำยักษ์ แห่งศูนย์ราชการ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แห่งนี้เปิดใช้งานมากว่าสองทศวรรษ เป็นที่ตั้งของหน่วยงานภาครัฐกว่า 50 หน่วยงาน มีผู้ปฏิบัติงานและประชาชนผู้มาติดต่อ กว่า 40,000 คนต่อวัน มีปัญหาการจราจรหนาแน่น พื้นคอนกรีตสะสมความร้อน และขาดพื้นที่สีเขียว ทำให้กลายเป็น เมืองคอนกรีต อย่างชัดเจน
พลิกโฉมศูนย์ราชการฯ สู่ เมืองคาร์บอนต่ำ ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ประธานในพิธีเปิด สวนลอยฟ้า A-D จัตุรัสลอยฟ้า หน้าบ้านของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ วันที่ 2 ธันวาคม 2568 กล่าวว่า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่ได้เป็นเพียงอาคารสำนักงานของหน่วยราชการอีกต่อไป แต่เป็นระบบนิเวศเมือง (urban ecosystem) ที่ต้องหายใจ มีชีวิต “ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” สะท้อนพระราชปณิธานในการฟื้นฟู ดิน น้ำ ป่า และการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างสมดุล

ธพส. ได้น้อมนำหลักการนี้มาเป็นพื้นฐานพัฒนาโครงการ พลิกโฉมผืนดินแห่งนี้ ให้กลายเป็น ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ ที่สามารถทำงานร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ดำเนินงานภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ ศูนย์ราชการฯ ที่ฟื้นคืนธรรมชาติ หรือ Regenerative Government Complex
1. From Car to feet จากรถยนต์สู่คนเดิน
จุดเปลี่ยนวัฒนธรรมเมือง มุ่งให้คนเดินและใช้ระบบขนส่งไฟฟ้ามากขึ้น เกิดเป็นโครงการสร้าง Skywalk ยาว 205 เมตร เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าสู่ศูนย์ราชการ พร้อมบริการ รถมินิบัสไฟฟ้า (EV Shuttle Bus) ลดมลพิษและลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว พื้นที่จราจรถูกออกแบบใหม่เป็นทางเดิน โครงข่ายเรือนยอดต้นไม้ (Canopy Corridor Network) สวนผสาน B-C เชื่อมโยงชุมชน คน รถ และธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้ เพราะในศตวรรษที่ 21 พื้นที่ราชการต้องกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของ ออกแบบทุกตารางเมตรให้มนุษย์เดินได้ หายใจได้ และมีส่วนร่วมได้
2. From Grey to Green จากเทาสู่เขียว
ปฏิบัติการคืนชีวิตให้โครงสร้างเมือง เปลี่ยนพื้นที่ดาดแข็งทั้งหมดให้เป็นพื้นที่ธรรมชาติ ฟื้นระบบนิเวศผ่านสถาปัตยกรรม ปรับพื้นที่ดาดฟ้า อาคารจอดรถ A ขนาด 8,000 ตารางเมตร เชื่อมต่อกับอาคารจอดรถ D เป็น จัตุรัสลอยฟ้า A-D ลานกิจกรรมกลางแจ้ง อาคารจอดรถเดิมถูกพัฒนาให้กลายเป็น ฟองน้ำยักษ์ (Sponge Parking) ที่กักเก็บและนำน้ำฝนกลับมาใช้ซ้ำแบบ Zero Runoff Discharge พัฒนาพื้นที่บ่อน้ำเดิม 14 ไร่ให้กลายเป็น B-Park อุทยานลอยน้ำอาคาร B (B-Park Urban Floating Oasis) ด้วยพันธุ์ไม้พื้นถิ่น ช่วยลดอุณหภูมิรอบพื้นที่ได้สูงถึง 9°C การออกแบบเชิงระบบนิเวศที่เน้น การอยู่ร่วม มากกว่าการแยกส่วน
3. จากคอนกรีตสู่ความหลากหลายทางชีวภาพ
เมื่อมีการเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าแล้ว ปริมาณรถจะน้อยลง พื้นที่กว่า 138 ไร่รวมโครงข่ายถนนถูกออกแบบเป็น Cooling Biodiversity Pathways ปลูกไม้พื้นถิ่นกว่า 5,500 ต้น ใช้ระบบ ร่องน้ำธรรมชาติ (Bioswale) และ สวนน้ำฝน (Rain Garden) จัดการน้ำและลดมลพิษในอากาศ เป็นแหล่งอาศัยของนก ผีเสื้อ แมลงผสมเกสร สอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum เรื่อง Nature positive city (2024) ที่ชี้ว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศเมืองช่วยลดอุณหภูมิได้ และการเปิดระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมโยงกับศูนย์ราชการ ส่งผลให้มีผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในระยะเวลา 6 เดือน
4. จากผู้บริโภคพลังงานสู่ผู้ผลิตพลังงานสะอาด
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ มุ่งสู่การเป็นเมืองพลังงานสะอาดต้นแบบของภาครัฐ เริ่มติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ขยายครอบคลุม 10 อาคาร กำลังผลิตรวม 4,712 กิโลวัตต์ สร้างไฟฟ้ากว่า 3.9 ล้านหน่วยต่อปี ประหยัดได้กว่า 16 ล้านบาท ต่อยอดสู่ระบบกักเก็บพลังงานทั้งแบตเตอรี่และไฮโดรเจน แปรพลังงานส่วนเกินจากแสงอาทิตย์เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในยามค่ำคืน ส่งผลให้ อาคารธนพิพัฒน์ กลายเป็นต้นแบบ Net Zero Energy Building แห่งแรกของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน DGNB ระดับ Platinum และ EDGE Advanced ปี พ.ศ. 2566 สอดคล้องกับแนวคิด BCG Model และเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศไทยภายในปี ค.ศ. 2050

ปัจจุบัน โครงการพัฒนาพื้นที่สีเขียว ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ดำเนินไปกว่า 89% และเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้พื้นที่สีเขียวเพิ่มเป็น 4 เท่า หรือจาก 36 ไร่ เป็นกว่า 138 ไร่ เพราะได้เลือกใช้พื้นซึมน้ำแทนคอนกรีต ช่วยลดความร้อนและเพิ่มการซึมซับน้ำฝน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ จะเป็น พิมพ์เขียว ของ เมือง Net Zero ที่สามารถต่อยอดไปยังพื้นที่ราชการทั่วประเทศ เพราะสิ่งที่ ธพส. ทำไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่คือการปลูกอนาคตให้กับประเทศไทย
แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาเมืองที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติไม่ใช่เพียงความฝันหรือนโยบาย แต่เป็นแนวทางที่ทำได้จริง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อมที่สมดุล และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน ธพส. หวังว่าพื้นที่แห่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหน่วยงานของรัฐและเอกชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ
” กชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิก บริษัท แลนด์โปรเซส จำกัด ผู้ร่วมออกแบบโครงการ เล่าถึงความท้าทายในการปรับปรุงพื้นที่ราชการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กว่า 378 ไร่ มีผู้ใช้งานมากกว่า 40,000 คนต่อวันว่า เดิมสถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบมาในยุคที่เน้นรถยนต์เป็นศูนย์กลาง “ทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนัก ทั้งปัญหาความร้อน ปัญหาน้ำท่วม และการขาดพื้นที่สาธารณะ ความสามารถในการรองรับน้ำฝนของโครงสร้างพื้นฐานเดิมก็ไม่ตอบโจทย์ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น แนวคิดจึงต้องเปลี่ยนจาก ความยั่งยืน (Sustainability) ไปสู่ Regenerative คือ นอกจากเป็นผู้บริโภคแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ฟื้นฟูและสร้างพลังงานหมุนเวียนกลับมาใช้ด้วย โครงการนี้จึงมุ่งเน้นการพลิกฟื้นพื้นที่ให้เป็น เมืองฟองน้ำ ที่สามารถดูดซับน้ำ สร้างรูพรุน และเพิ่มอากาศได้ โครงการนี้ได้รับรางวัล property และการออกแบบ รวมแล้วกว่า 10 รางวัลในระดับโลก จากหน่วยงานในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, อเมริกา รวมถึงรางวัล Excellence Winner จาก German Design Award และรางวัล of the year จากสวิตเซอร์แลนด์ ในด้านสถาบัน ความสำเร็จนี้น่าภาคภูมิใจมาก เพราะปกติแล้วเรามักจะเห็นแต่โครงการพัฒนาสินทรัพย์ของภาคเอกชนที่ได้รางวัล ซึ่งภาคราชการไม่ค่อยได้รับมากนัก
แนวคิด regenerative ที่นำมาใช้ เป็นการเสริมสร้างและทำให้เกิด วัฏจักรพลังงาน (circular economies) เพื่อให้เกิดความเป็น Low Carbon ในพื้นที่ การดำเนินโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเชื่อมโยงหน่วยงานกว่า 50 แห่ง และกว่า 9 กระทรวง ซึ่งโดยปกติอาจมีการพูดคุยกันน้อยมาก
– มีการสร้างอาคารจอดรถขนาดใหญ่ ซึ่งเป็น EV 100% ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในการชาร์จ
– น้ำที่ได้จากอาคารจอดรถจะถูกบำบัดและเก็บไว้ในแก้มลิง
– การปรับปรุงนี้ทำให้ทุกคนสามารถจอดรถแล้วมานั่งรถไฟฟ้า และใช้บริการชัทเทิลบัสต่อได้
– การเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อ ถนนแกนกลางที่เชื่อมต่ออาคารทั้งหมดถูกเพิ่มพื้นที่สีเขียว และมีการสร้างทางเดินที่เป็น Universal Design เพื่อความสะดวกสำหรับทุกคน
– มีการสร้าง อุโมงค์ทางลอด เพื่อให้รถยนต์เดินรถใต้ดิน ไม่ขวางทางคนเดิน ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มอาคาร B และ C เป็นไปอย่างราบรื่น
– สวนและพื้นที่ใช้สอย ถูกปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเขียวและความหลากหลาย และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่แค่มีไว้ดู เช่น สวน BC ที่อยู่เหนืออุโมงค์ เดิมเป็นเพียงบ่อน้ำตื้น ๆ ประดับ แต่ปัจจุบันเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีความร่มรื่นและใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งสวนสาธารณะนี้จะมอบให้กับกรุงเทพมหานครเพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ได้ด้วย
– อาคาร C ต้นแบบประหยัดพลังงานระดับประเทศ อาคารนี้มีการสร้างสภาวะอุณหภูมิที่เรียกว่า human comfort ทำให้ผู้ที่อยู่ในอาคารรู้สึกสบาย ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป – ติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ ทำให้มีความเย็นในระดับ 2-3 เมตรจากพื้น ส่วนที่สูงกว่านั้นจะเป็นอากาศที่อุ่น โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราเข้าสู่ตึกขนาดใหญ่ ผู้คนมักสวมใส่เสื้อกันหนาว แต่ระบบในอาคาร C ทำให้อุณหภูมิอยู่ในระดับที่กำลังดีและเหมาะสม ถือเป็นจุดเด่นของอาคารนี้ และไม่ค่อยปรากฏในตึกอื่น ๆ ทั่วไป
นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีการประหยัดพลังงานผ่านการออกแบบและการจัดการภายใน เช่น
– การใช้น้ำหล่อเย็น (Chilled Water) แทนการเปิดเครื่องปรับอากาศแบบเต็มสูบ
– การนำอุณหภูมิที่เย็นในช่วงกลางคืน กลับมาใช้เป็นความเย็นในช่วงกลางวัน
– การออกแบบเปลือกอาคาร (Skin) ตามองศาของพระอาทิตย์
– สัญลักษณ์ที่โดดเด่นใจกลางหมู่บ้านแนวตั้งแห่งนี้ คือ เม็ดพดด้วง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเงิน เนื่องจากโครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง
– นอกจากนี้ยังมีระบบจัดการน้ำหมุนเวียนแบบไร้การปล่อยออกสู่ภายนอก แต่จะนำกลับมาใช้ใหม่
– รดน้ำต้นไม้ น้ำที่บำบัดแล้วจะถูกนำมาใช้รดน้ำต้นไม้ในสวนทั้งหมดของศูนย์ราชการ
– สุขภัณฑ์ น้ำที่บำบัดผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วจะถูกนำมาใช้กดชักโครก เพื่อประหยัดน้ำ
– มีการหมุนเวียนน้ำให้เบ็ดเสร็จ ติดตั้งถังเก็บใต้ดิน เพื่อเก็บน้ำจากหลังคา (น้ำฝน) มาใช้รดน้ำต้นไม้ควบคู่ไปกับน้ำบำบัด พลิกโฉมอาคารจอดรถ เป็น สวนดาดฟ้า ที่ให้ทั้งผัก พลังงาน และการลดคาร์บอน
– บนชั้นดาดฟ้าของ อาคาร D ถูกออกแบบให้เป็น สวนเกษตรธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ ปุ๋ยที่ใช้ก็ผลิตขึ้นเอง นำเศษอาหารจากโรงอาหารมาทำปุ๋ยหมัก ทำให้ศูนย์ราชการไม่มีของเสีย และได้รับอาหารที่มีคุณภาพ
– สุขภาพกายและใจดีขึ้นจากสมุนไพรและผืนดิน
– พืชผักสมุนไพรที่ปลูกมีความหลากหลายและให้สรรพคุณทางยา เช่น ใบเตย หญ้าหนวดแมว มีสารต้านอนุมูลอิสระ หญ้าหนวดแมว นำไปต้มเป็นชา ช่วย แก้นิ่ว หรือปัญหาเกี่ยวกับไตได้ ใบเตย นำไปทำขนม เช่น ขนมหยกมณี สังขยา น้ำสมุนไพรได้
– สวนลอยฟ้า ยังเป็นพื้นที่คลายเครียด ช่วยผ่อนคลาย การทำกิจกรรมปลูกผักและการสัมผัสกับดินยังช่วยให้มี ภูมิคุ้มกัน เพิ่มขึ้น
– ลดความร้อน ลดคาร์บอน สร้างพลังงาน การที่มีชั้นดินอยู่บนหลังคาจะช่วย ซับความร้อน ทำให้ อุณหภูมิของอาคารลดลง ไปด้วยในตัว หลังคาที่ถูกใช้เป็นพื้นที่ทำสวนยังเป็นพื้นที่รับน้ำและอุ้มน้ำ ให้กับเมืองอีกด้วย
– การทำสวนผักแบบธรรมชาติโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายชนิดลงได้
– ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้จากหลังคาอาคารแห่งนี้ยังนำไปใช้ ชาร์จรถ EV Bus ที่ศูนย์ฯ ใช้งานอยู่ได้ 100%
จะเห็นได้ว่าโครงการสวนบนดาดฟ้าแห่งนี้ จึงเป็นการใช้พื้นที่อาคารจอดรถอย่างชาญฉลาด ทั้งจอดรถ เป็นอาคารสำหรับคน เป็นแหล่งอาหาร ได้พลังงาน และเป็นพื้นที่กิจกรรม ในเวลาเดียวกันเลยนะคะ
ที่มา : Cr. Kanok Shokjaratkul
