บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง กรมควบคุมโรค เตือน “ไข้รากสาดใหญ่” ระบาดช่วงปลายฝนต้นหนาวกันนะคะ โดยแนะนำให้ เกษตรกร และนักท่องเที่ยว ระวังการถูกไรอ่อนกัด เพราะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากรายงานหลัง 10 เดือนตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ พบผู้ป่วย 6,688 ราย เสียชีวิต 5 รายกันแล้วนะคะ พร้อมแล้วตามมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
กรมควบคุมโรคเตือน “ไข้รากสาดใหญ่” ระบาดช่วงปลายฝนต้นหนาว

กรมควบคุมโรค เผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดที่สายท่องเที่ยวต้องระวังเป็นพิเศษ อย่าง ไข้รากสาดใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าช่วงเดือนตุลาคมเป็น “จุดเริ่มต้นฤดูระบาด” ของไข้รากสาดใหญ่ เพราะมี “พาหะมาก” และ “คนเข้าไปสัมผัสธรรมชาติ” ซึ่งข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 8 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วย 6,688 ราย เสียชีวิต 5 ราย จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดได้แก่ แม่ฮ่องสอน น่าน ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ และเชียงราย
ด้าน ดร.นายแพทย์หิรัญวุฒิ แพร่คุณธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เปิดเผย เหตุผลที่พบผู้ป่วย “ไข้รากสาดใหญ่” เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม เนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง อุณหภูมิลดลง เหมาะต่อการแพร่พันธุ์ของไรอ่อน ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อ ประกอบกับฤดูปลายฝนต้นหนาวนั้นเหมาะกับการเดินป่าของนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ไปตั้งแคมป์ในป่า/ภูเขา หากแต่งกายไม่รัดกุม ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกไรอ่อนกัด ซึ่งตัวไรอ่อนจะพบมากบริเวณกอหญ้า หรือพื้นที่เกษตรที่มีหญ้าขึ้นรก จึงเพิ่มโอกาสให้คนถูกกัดและติดเชื้อได้ อีกทั้งเป็นฤดูกาลที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าว ทำไร่ หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีตัวไรอ่อนอาศัยอยู่ โดยทั่วไปไรอ่อนจะอาศัยหนู สัตว์ฟันแทะเป็น “แหล่งรังโรค”

สำหรับสถานการณ์โรคไข้รากสาดใหญ่ปี 2568 เขตสุขภาพที่ 7 (ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) พบผู้ป่วยสะสม 477 ราย อำเภอที่พบสูงสุดคือ อำเภอสุวรรณภูมิ รองลงมาคือ อำเภออาจสามารถ และอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ตามลำดับ โดย “ไข้รากสาดใหญ่” เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย โดยถูกไรอ่อนที่มีเชื้อกัด ไรอ่อนมักอาศัยอยู่ในกอหญ้า ป่าละเมาะ พื้นที่ชื้นใกล้ป่า หรือทุ่งนา เมื่อคนได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการเฉลี่ย 10 – 12 วัน โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการได้ตั้งแต่ไข้สูงติดต่อกันหลายวัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไอ คลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีตาแดง บริเวณที่ถูกกัด อาจมีแผลเป็นจุดคล้ายถูกบุหรี่จี้ (แผลอาจไม่เจ็บ/ไม่คัน) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยโดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมอง / สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การป้องกันการถูกไรอ่อนกัด คือ สวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด (เสื้อแขนยาว, กางเกงขายาว) เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง ใช้สารไล่แมลง / ยากันแมลงบริเวณผิวหนังหรือเสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการนอนหรือนั่งบนพื้นดินหรือหญ้าโดยตรง หลังกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรรีบอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย สระผม และซักเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้สะอาดด้วยน้ำและผงซักฟอก เพื่อกำจัดตัวไรอ่อนที่อาจติดมากับเสื้อผ้า
กลุ่มเกษตรกรควรระวังเป็นพิเศษ หากมีสัตว์เลี้ยงในบริเวณบ้าน ควรดูแลความสะอาด ไม่ให้มีหนูหรือพาหะอาศัยอยู่ ตัดหญ้าและพรวนดินรอบบริเวณบ้านให้สะอาด หากมีอาการ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว ผื่นขึ้น หรือตาแดงโดยเฉพาะถ้าพบ “แผลคล้ายบุหรี่จี้” ที่ผิวหนังควรรีบไปพบแพทย์พร้อมกับแจ้งประวัติการเข้าไปในป่าหรือทุ่งนาเพื่อให้วินิจฉัยได้ถูก เน้นว่าห้ามซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองเลยนะคะ เพราะมันก็มีผลอันตรายมากจริงๆค่ะ แล้วยิ่งเป็นเชื้อที่โดนง่ายแล้วมีอาการมากแบบนี้ ต้องรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุดเลยค่ะ
ที่มา: กรมควบคุมโรค
