ผลวิจัยชี้ว่ากว่า 70% ของการใช้งาน ChatGPT ของคนทั่วโลก ถูกใช้ไปกับเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเลย โดยเป็นการถามคำถามทั่วไปในชีวิตประจำวันนั่นเองค่ะ แสดงให้เห็นว่า ผู้คนส่วนใหญ่มอง ChatGPT เป็น “ผู้ช่วยชีวิตประจำวัน” หรือ “ที่ปรึกษา” เพื่อหาข้อมูลและช่วยตัดสินใจ มากกว่าใช้เป็น “ผู้ช่วยในการทำงาน” แบะสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับงานซึ่งมีสัดส่วนลดลงเหลือไม่ถึง 30% ก็มักเป็นการใช้เพื่อปรับแก้ สรุป หรือแปลเนื้อหา มากกว่าการสร้างเนื้อหาใหม่จากศูนย์นั่นเองนะคะ พร้อมแล้วตามมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ งานวิจัยชี้คนใช้ ChatGPT 70% แก้ปัญหาเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ใช้ทำงาน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการทำงาน ที่แทบทุกองค์กรต่างเร่งนำ AI เข้ามาใช้งาน และ/หรือ สอนให้พนักงานใช้ AI ในการทำงานมากขึ้น แต่ในมุมของพนักงานผู้ใช้งานเอง อาจไม่ได้ใช้ AI ในการทำงานมากเท่าที่ควรจะใช้ ?
โดยเมื่อไม่นานมานี้ มีผลการวิจัยที่อาจทำให้หลายคนประหลาดใจ ว่า กว่า 70% ของการใช้งาน AI เจ้าดังอย่าง ChatGPT ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเลย แต่ถูกใช้เพื่อถามคำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน จากรายงานการทำงานของ OpenAI ร่วมกับนักวิจัยจาก Duke และ Harvard ซึ่งเผยแพร่ผ่านสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (NBER) ได้วิเคราะห์การสนทนา ChatGPT ของผู้ใช้งานประมาณ 1.5 ล้านครั้ง ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2567 – กรกฎาคม 2568
ผลการวิเคราะห์พบว่า ประมาณ 70-73% ของข้อความที่ป้อนเข้าสู่ ChatGPT เป็นการใช้งานในเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเลย (เพิ่มขึ้นจาก 53% ในช่วงกลางปี 2567) ขณะที่การใช้งาน ChatGPT ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ลดลงเหลือประมาณ 27-30% ของข้อความทั้งหมด หากดูผิวเผินอาจจะพบว่ามีการเติบโตของการใช้งานในด้านงานจริง เช่น การเขียน การสรุป และการช่วยจัดการงานเอกสาร แต่เมื่อดูในภาพรวมจริงๆ กลับพบว่า ผู้คนใช้ ChatGPT เป็น “ผู้ช่วยชีวิตประจำวัน” มากกว่า “ผู้ช่วยทำงาน”
ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ที่ ChatGPT เปิดตัวในปี 2022 จนถึงกลางปี 2025 มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างผู้ใช้อย่างเห็นได้ชัด จากที่ช่วงแรกของการเริ่มใช้งาน มีผู้ใช้ที่เป็นผู้ชายครองสัดส่วนถึง 80% ของผู้ใช้งานประจำสัปดาห์ แต่ต่อมาในกลางปี 2568 กลับกลายเป็นว่า ผู้ใช้ที่มีชื่อผู้หญิงมีสัดส่วนมากกว่า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในการเข้าถึง AI กันเลยทีเดียวนะคะ

ChatGPT ถูกใช้หาข้อมูล-แนวทางสนับสนุนการตัดสินใจมากขึ้น แม้การใช้งานเพื่อความบันเทิงจะนำมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากเจาะลึงลงมาดูเรื่องการใช้ ChatGPT ในโลกของคนทำงาน ผลวิจัยชี้ว่า 40% ของข้อความที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน พบเป็นการใช้ของกลุ่มงานด้านการเขียน และ 52% ของผู้ใช้งานเป็นการใช้งานของสายงานผู้จัดการและธุรกิจ สิ่งที่น่าสนใจคือ ลักษณะการใช้งานด้านการเขียนนั้น ไม่ได้มุ่งสร้างคอนเทนต์ใหม่จากศูนย์ แต่เน้นการแก้ไข ปรับโทนเนื้อหา สรุป หรือแปลข้อความ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของการใช้งานทั้งหมด นั่นทำให้ ChatGPT ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เครื่องผลิตเนื้อหา” แต่กลายเป็น “ผู้ช่วยปรับแต่งเนื้อหา” อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ของ NBER ยังพบว่า 49% ของข้อความที่ป้อนเข้าสู่ ChatGPT เป็นการถามคำถาม เพื่อหาข้อมูลหรือแนวทางสนับสนุนการตัดสินใจ มากกว่าการสั่งให้ระบบทำงานโดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ใหม่ของ ChatGPT ที่ทำหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา” มากกว่า เช่น ถูกใช้เป็นตัวช่วยของบทบาท “นักสื่อสาร” เพื่อให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาแก่ผู้บริหารและองค์กร สายงานการสื่อสาร ChatGPT ไม่ใช่แค่เครื่องมือผลิตคอนเทนต์ แต่คือ “เพื่อนคู่คิด”
นายสราวุธ บูรพาพัธ ที่ปรึกษาด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เพื่อการสื่อสารองค์กร เปิดเผยว่า บทบาทของนักสื่อสารในวันนี้เปลี่ยนจากผู้ผลิตเนื้อหาไปสู่การเป็นผู้ตรวจแก้และยกระดับเนื้อหา (Editor & Enhancer) ChatGPT สามารถช่วยปรับโทนเสียง สรุปสาระสำคัญ หรือแปลเนื้อหาให้สอดคล้องกับกลยุทธ์แบรนด์ และยังช่วยร่างคำพูดสำหรับผู้บริหารในงานสำคัญได้ด้วย ผลวิจัยยังพบว่า การใช้งาน ChatGPT เพื่อการเรียนรู้และฝึกฝน เช่น การทำความเข้าใจแนวคิด CSR หรือการจำลองสถานการณ์ Crisis Communication มีสัดส่วนสูงถึง 29% ขณะเดียวกัน การใช้งานเพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 24% ส่วนการใช้งานเพื่อการเขียนแบบตรงๆ ลดลงจาก 36% เหลือ 24% ซึ่งสะท้อนการปรับบทบาทของเครื่องมือจาก “ผู้ผลิตเนื้อหา” มาสู่ “ผู้ช่วยคิด” ของคนทำงานด้านนักการสื่อสาร
นายสราวุธ มองว่า “ยุค AI ผู้ที่ทำงานสายการสื่อสาร ควรปรับวิธีนำเสนอให้ตอบโจทย์การค้นหาข้อมูลแบบตอบทันที และควรผลิตเนื้อหาแนว How-to และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการทำ AEO (Answer Engine Optimization) หากรู้จักใช้ AI อย่างเหมาะสม ไม่เพียงจะได้ผู้ช่วยอัจฉริยะ แต่ยังสามารถเพิ่มคุณค่าของบทบาทนักสื่อสารในระดับองค์กรและสังคมได้อย่างชัดเจน” การใช้งาน AI เชื่อมโยงกับรายได้เฉลี่ยของคนแต่ละปรเทศ นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งรายงานที่น่าสนใจ นั่นคือ ผลวิจัยของ Anthropic AI ผู้พัฒนา Claude chatbot ที่ชวนมองในมุมช่องว่างเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านการใช้งาน AI
โดยพบว่า การใช้งาน AI มีความสัมพันธ์โดยตรงกับรายได้เฉลี่ยของประเทศและภูมิภาค รายงานดังกล่าวระบุว่า ประเทศที่ร่ำรวย เช่น สิงคโปร์และแคนาดา มีอัตราการใช้งาน AI สูงกว่าประเทศยากจน ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และไนจีเรีย มีอัตราการใช้งาน AI ต่ำกว่า แม้แต่ในสหรัฐฯ ก็เห็นความเหลื่อมล้ำเช่นกัน โดยการวิจัยพบว่า ทุกการเพิ่มขึ้นของ GDP รัฐละ 1% เชื่อมโยงกับการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้น 1.8% อีกทั้งยังพบการใช้งานที่สะท้อนถึงความต้องการของผู้คนในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกันไป เช่น
– แคลิฟอร์เนีย: ใช้ ChatGPT แก้ปัญหาด้าน IT – ฟลอริดา: ใช้เพื่อบริการทางการเงิน
– วอชิงตัน ดี.ซี.: ใช้ในงานเอกสารและการให้คำปรึกษาอาชีพ ซาราห์ เจ. ลันดริแกน (Sarah J. Lundrigan) ที่ปรึกษาด้าน AI literacy อธิบายเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณยังคิดว่า AI เป็นสิ่งที่จะคุณลองใช้ทีหลัง คุณก็อาจกำลังล้าหลังคนอื่นหรือตกขบวนไปแล้ว เพราะคุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ฟีเจอร์ล้ำอนาคต แต่อยู่ที่การแก้ปัญหาหน้างานจริงในวันนี้”
พูดง่ายๆ ว่า AI ในวันนี้พัฒนาล้ำหน้าไปมาก มันก็กำลังขยับจากการเป็น “ผู้ผลิตเนื้อหา” ระดับเริ่มต้น ไปสู่การเป็น “ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์” ของมนุษย์ได้แล้ว ดังนั้น การใช้ ChatGPT ให้ได้ประโยชน์สูงสุดคงไม่ใช่แค่การใช้มันเพื่อถามคำถามในชีวิตประจำวันอีกต่อไป แต่คือการนำมันมาเป็นเพื่อนคู่คิดในการทำงานให้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นต่างหากกนะคะ
ที่มา : OpenAI, YahooNews, voice.lapaas, สราวุธ บูรพาพัธ MCOMMS AI เรื่องส่วนตัว การทำงาน วัยทำงาน ChatGPT ใช้ AI ทำงาน
