บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง “ขับรถหน้าฝน” พร้อมเคล็ดลับง่ายๆดูแลรักษารถด้วยตัวเองกันนะคะ ขึ้นชื่อว่า “ฤดูฝน” ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับการขับขี่ ไม่เพียงแต่ถนนจะเปียกลื่นและทัศนวิสัยไม่ดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสภาพรถยนต์โดยตรงอีกด้วยนะคะ ซึ่ง “การดูแลรักษารถในช่วงหน้าฝน” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและยืดอายุการใช้งานของรถยนต์นั่นเองค่ะ พร้อมแล้วตามมาดูกันเลยค่ะว่า “ขับรถหน้าฝน” พร้อมเคล็ดลับง่ายๆดูแลรักษารถด้วยตัวเองจะต้องทำอย่างไรบ้างนะคะ

 

“ขับรถหน้าฝน” พร้อมเคล็ดลับง่ายๆดูแลรักษารถด้วยตัวเอง

 

 

 

น้ำฝนและสิ่งสกปรกที่มาพร้อมกับน้ำฝน เช่น โคลน ทราย และกรดจากมลพิษ สามารถสร้างความเสียหายให้กับส่วนต่างๆ ของรถยนต์ได้ ตั้งแต่ตัวถัง ระบบเบรก ยาง ไปจนถึงระบบไฟฟ้า หากละเลยการดูแลรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมจำนวนมากในภายหลังได้นะคะ เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ช่วงหน้าฝน

 

1.ตรวจสอบยางรถยนต์

– ดอกยาง: ดอกยางที่สึกหรอจะลดประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนเมื่อเปียก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรตรวจสอบความลึกของดอกยางอย่างสม่ำเสมอ หากดอกยางตื้นเกินไป (โดยทั่วไปแนะนำไม่ต่ำกว่า 3 มม.) ควรเปลี่ยนยางใหม่

– แรงดันลมยาง: แรงดันลมยางที่เหมาะสมจะช่วยให้รถเกาะถนนได้ดีและลดความเสี่ยงยางระเบิด ควรเติมลมยางตามที่คู่มือกำหนด และตรวจสอบอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือก่อนเดินทางไกล

– สภาพยาง: ตรวจสอบรอยแตกร้าว บวม หรือความเสียหายอื่นๆ บนแก้มยาง หากพบสิ่งผิดปกติ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการ

 

2. ตรวจสอบระบบเบรก

– ผ้าเบรกและจานเบรก: น้ำและความชื้นอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของผ้าเบรกและจานเบรก ทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น หรือมีเสียงดังขณะเบรก หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบนำรถไปตรวจสอบ

– น้ำมันเบรก: ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ในระดับปกติ และไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมปะปน หากน้ำมันเบรกพร่อง หรือมีสีขุ่น ควรรีบเติมหรือเปลี่ยนใหม่

 

3. ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก

– ยางปัดน้ำฝน: ยางปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพจะปัดน้ำไม่สะอาด ทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนทุก 6-12 เดือน หรือเมื่อพบว่าปัดน้ำไม่เกลี้ยง

– น้ำฉีดกระจก: ควรเติมน้ำฉีดกระจกให้เต็มอยู่เสมอ และอาจผสมน้ำยาทำความสะอาดกระจก เพื่อช่วยขจัดคราบสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

4. ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง

– ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟเบรก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟทุกดวงทำงานได้ปกติ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถเราได้ชัดเจนในสภาพอากาศฝนตก

– ไฟตัดหมอก: หากรถของคุณมีไฟตัดหมอก ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้งานได้ปกติ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่เมื่อมีหมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก

 

5. ทำความสะอาดรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ

– ล้างรถ: ล้างรถบ่อยขึ้นในช่วงหน้าฝน เพื่อล้างคราบโคลน สิ่งสกปรก และสารเคมีต่างๆ ที่เกาะติดตัวถัง

– เคลือบสี: การเคลือบสีจะช่วยสร้างชั้นฟิล์มป้องกันรอยขีดข่วน และป้องกันน้ำและสิ่งสกปรกเกาะติดตัวถังได้ง่ายขึ้น

– ทำความสะอาดภายในรถ: ตรวจสอบและทำความสะอาดพรมปูพื้นและเบาะนั่ง เพื่อป้องกันความอับชื้นและเชื้อรา

 

6. ตรวจสอบระบบระบายน้ำ

– ช่องระบายน้ำ: ตรวจสอบช่องระบายน้ำบริเวณกระจกหน้ารถและขอบประตู ไม่ให้มีสิ่งอุดตัน เช่น ใบไม้ หรือเศษขยะ ซึ่งอาจทำให้น้ำขังและซึมเข้าสู่ภายในรถได้

– ท่อไอเสีย: ตรวจสอบท่อไอเสียว่ามีรอยรั่วหรืออุดตันหรือไม่ เพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่ระบบไอเสีย

 

7. ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง

– ลดความเร็ว: ลดความเร็วในการขับขี่เมื่อฝนตกหรือถนนเปียก

– รักษาระยะห่าง: เพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มเวลาในการหยุดรถ

– หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน: เบรกอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการลื่นไถล

– ระมัดระวังแอ่งน้ำ: หลีกเลี่ยงการขับรถลุยแอ่งน้ำลึก เพราะอาจทำให้รถเสียการควบคุม หรือเครื่องยนต์ดับได้

 

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอในช่วงหน้าฝน ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง และรักษาสภาพรถให้ดูใหม่อยู่เสมอในระยะยาวอีกด้วยนะคะ

 

 

 

 

 

ที่มา : รู้ก่อนเหยียบ โดย “ช่างเอก”