Google ได้เผยหน้าตาอัปเดตฟีเจอร์ชุดใหญ่ให้ Google Maps ในหลายเมืองทั่วยุโรป โดยชูโรงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และข้อมูลเชิงลึก ผสมกันเพื่อส่งเสริมการเดินทางที่ยั่งยืนและเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรในระดับเมือง โดยการอัปเดตครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มข้อมูล แต่เป็นการนำ AI เข้ามาวิเคราะห์ และนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งานและผู้บริหารเมือง จึงได้ฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้

 

 

 

 

ฟีเจอร์ใหม่ของ Google Maps

 

1. AI-Powered Routing เมื่อการเดินทางไม่ได้มีแค่ “ขับรถ” ฟีเจอร์เด่นคือการใช้ AI เปรียบเทียบระยะเวลาเดินทางแบบเรียลไทม์ หาก AI ประเมินว่าการเดินหรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะจะใช้เวลาใกล้เคียงกับการขับรถ Google Maps จะ “แนะนำ” ทางเลือกเหล่านั้นให้ผู้ใช้ทันที เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวโดยไม่จำเป็น ฟีเจอร์นี้กำลังจะเปิดตัวในเมืองโคเปนเฮเกน, สตอกโฮล์ม และวอร์ซอ

 

2. ยกระดับข้อมูลสำหรับนักปั่น (Advanced Cycling Data) สำหรับเมืองใหญ่ที่ส่งเสริมการใช้จักรยาน เช่น มาดริด, บาร์เซโลนา, มิลาน, โรม, ซูริก และเวียนนา Google Maps จะแสดงข้อมูลเส้นทางจักรยานที่ละเอียดขึ้นมาก ไม่ใช่แค่การบอกว่ามีเลนจักรยานหรือไม่ แต่จะแสดงข้อมูลเชิงลึกประกอบด้วย: – ประเภทของเลน : ระบุว่าเป็นเลนจักรยานโดยเฉพาะ หรือเลนที่ใช้ร่วมกับรถยนต์ – สภาพการจราจร : แจ้งเตือนเส้นทางที่มีปริมาณรถยนต์หนาแน่น – สภาพภูมิประเทศ : แสดงข้อมูลความชันของเส้นทาง เช่น การขึ้นเนินสูงชัน

 

3. ระบบแจ้งเตือนเขตมลพิษต่ำ (Low-Emission Zone Alerts) อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญคือการแจ้งเตือนเมื่อเส้นทางของผู้ใช้ต้องผ่านเข้าไปใน เขตปลดปล่อยมลพิษต่ำ (Low-Emission Zone) ซึ่งมีอยู่กว่า 1,000 แห่งทั่วยุโรป โดยระบบจะทำงานร่วมกับข้อมูลประเภทเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าไว้ (เบนซิน, ดีเซล, ไฟฟ้า, ไฮบริด) และแจ้งเตือนว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่หรือไม่ พร้อมทั้งเสนอเส้นทางเลี่ยงหากจำเป็น ซึ่งจะเริ่มใช้งาน “ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” นอกจากนี้ ฟีเจอร์ “เส้นทางประหยัดเชื้อเพลิง” (Fuel-Efficient Routing) ที่ใช้ AI คำนวณเส้นทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด ได้เปิดให้บริการทั่วโลกแล้วอย่างเป็นทางการ

 

4. Project Green Light ใช้ AI แก้ปัญหารถติดที่สัญญาณไฟ นอกเหนือจากฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป Google ยังได้ขยายโครงการ “Project Green Light” ไปยังเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย โครงการนี้คือการนำ AI เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลแนวโน้มการจราจร จาก Google Maps เพื่อสร้างแบบจำลอง และให้คำแนะนำแก่หน่วยงานวิศวกรรมจราจรของเมืองในการปรับจังหวะสัญญาณไฟให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจริงๆ ฟีเจอร์นี้เราได้เห็นในถนนสาธรในเมืองไทยแล้ว

 

การปรับปรุงฟีเจอร์เหล่านี้เป้าหมายคือการลดจำนวนครั้งที่รถต้องหยุดนิ่ง สร้าง “คลื่นสีเขียว” ให้การจราจรลื่นไหลขึ้น ซึ่งผลการทดสอบในเมืองต่างๆ ชี้ว่ามีศักยภาพลดการหยุดรถได้ถึง 30% และลดการปล่อยมลพิษบริเวณทางแยกได้ 10% ดังนั้นเราจึงได้สรุปง่ายๆว่า Google กำลังเปลี่ยน Maps จากแอปพลิเคชันนำทางสู่การเป็น “แพลตฟอร์มจัดการการสัญจร” ที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและ AI อย่างเต็มรูปแบบ แต่ฟีเจอร์นี้ภูมิภาคอื่นๆ ยังคงต้องรอกันไปก่อนนะคะ