บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง ค่าดัชนีมวลกาย BMI กันนะคะ ซึ่งดัชนีมวลกาย หรือ BMI ย่อมาจาก Body Mass Index เป็นค่าสากลที่ใช้เพื่อคำนวณเพื่อหาน้ำหนักตัวที่ควรจะเป็น และประมาณระดับไขมันในร่างกายโดยใช้น้ำหนักตัว และส่วนสูงนั่นเองค่ะ การคำนวณดัชนีมวลกายไม่ใช่การวัดโดยตรงแต่ก็เป็นตัวชี้วัดไขมันในร่างกายที่ค่อนข้างเชื่อถือได้สำหรับคนส่วนใหญ่นะคะ พร้อมแล้วตามมาดูรายละเอียดอื่นๆกันได้เลยค่ะ
ค่าดัชนีมวลกาย BMI
ค่า BMI ยังสามารถใช้บ่งบอกความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆได้อีกด้วยนะคะ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด ระบบหัวใจ รวมไปถึงมะเร็งบางชนิด แต่อย่างไรก็ตามค่า BMI เป็นแค่การคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากคุณจำเป็นต้องนำปัจจัยอื่นๆ มาประกอบด้วย ทั้งเรื่องของพันธุกรรม ปริมาณกล้ามเนื้อ พฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต การออกกำลังกาย และอื่นๆค่ะ แต่เนื่องจากดัชนีมวลกายมีวิธีคำนวณที่ง่าย จึงทำให้ทุกคนสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเอง จากการมีปริมาณไขมันในร่างกายเกินได้นั่นเองค่ะ
ข้อจำกัดของการใช้ดัชนีมวลกายในการวัดปริมาณไขมันในร่างกาย แม้ว่าดัชนีมวลกายจะสัมพันธ์กับการวัดไขมันในร่างกายค่อนข้างมาก แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง โดยขึ้นอยู่กับเพศ อายุ และความสามารถทางกีฬา ข้อจำกัดเหล่านี้ได้แก่
– ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย
– คนที่อายุมากกว่ามีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า
– นักกีฬาที่ฝึกฝนมาอย่างดีจะมีดัชนีมวลกายสูงเนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า ทำให้น้ำหนักตัวที่มากนั้นมาจากมวลกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ไขมัน องค์ประกอบของร่างกาย ไขมันในร่างกาย และดัชนีมวลกาย ความเสี่ยงของสุขภาพจากการมีดัชนีมวลกายสูง เหตุผลที่ใช้ดัชนีมวลกายในการคัดกรองสุขภาพของประชากรทั่วไปเนื่องจากการมีน้ำหนักเกินหรืออ้วนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับปัญหาสุขภาพ การเกิดโรคเรื้อรัง และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วนจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่อไปนี้เพิ่มขึ้น
– ข้อเสื่อม
– เบาหวาน
– มะเร็งบางชนิด
– ความดันโลหิตสูง
– โรคหลอดเลือดสมอง
– โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือตัน
– หยุดหายใจขณะหลับหรือมีปัญหาทางเดินหายใจ
วิธีการเพิ่มหรือลดค่า BMI
– ค่า BMI จะแปรผันตามน้ำหนักตัว หากน้ำหนักตัวเพิ่มก็จะทำให้ค่า BMI เพิ่มขึ้น ถ้าน้ำหนักตัวลดก็จะทำให้ค่า BMI ลดลงเช่นเดียวกัน
– ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มปริมาณการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน
– เลือกกินอาหารที่ไขมันไม่สูง หรือทานให้ครบ 5 หมู่
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7 ชั่วโมงต่อวัน
– หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
การคำนวณ BMI (Body Mass Index) หรือ ดัชนีมวลกาย
ทำได้โดยใช้สูตร : BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ (ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร))
ตัวอย่างเช่น หากคุณหนัก 60 กก. สูง 1.60 เมตร ค่า BMI จะเท่ากับ 60 ÷ (1.60 x 1.60) = 23.44
และผลลัพธ์นี้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับตารางเกณฑ์เพื่อประเมินภาวะน้ำหนักของคุณ
วิธีคำนวณ BMI
1. วัดน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม (kg): และ ส่วนสูงเป็นเมตร (m)
2. นำส่วนสูงมาคูณตัวเอง: (ส่วนสูงยกกำลังสอง)
3. หารน้ำหนักตัวด้วยผลลัพธ์:
จากขั้นตอนที่ 2 ตัวอย่างการคำนวณ: * น้ำหนัก: 70 กิโลกรัม * ส่วนสูง: 1.75 เมตร * การคำนวณ: 70 ÷ (1.75 x 1.75) = 22.86
ความหมายของค่า BMI (สำหรับชาวเอเชีย/คนไทย)
* น้อยกว่า 18.5: ผอมเกินไป
* 18.5 – 22.9: น้ำหนักปกติ
* 23.0 – 24.9: น้ำหนักเกิน
* 25.0 – 29.9: อ้วน
* 30.0 ขึ้นไป: อ้วนมาก