บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง AI ตรวจเบาหวาน กันนะคะ แค่ฟังเสียงก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ โดยงานวิจัยใหม่นี้ได้มีการนำ AI มาวิเคราะห์คุณลักษณะของเสียงเพื่อตรวจเบาหวานประเภทที่ 2 มีความแม่นยำ 66% ในผู้หญิง และ 71% ในผู้ชาย ซึ่งปัจจุบันนี้ต้องใช้ห้องปฏิบัติการ และมีค่าใช้จ่ายสูง
AI ตรวจเบาหวาน
งานวิจัยใหม่นี้ได้นำเสนอในการประชุมประจำปีของสมาคมยุโรป เพื่อการศึกษาโรคเบาหวาน หรือ The European Association for the Study of Diabetes (EASD) ในปีนี้ ที่กรุงมาดริด ที่จัดประชุมเมื่อวันที่ 9-13 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา
โดยโมเดล AI นี้ใช้การฝึกจากเสียงของผู้คนความยาวเฉลี่ย 25 วินาที ร่วมกับข้อมูลสุขภาพพื้นฐาน เช่น อายุ เพศ ดัชนีมวลกาย (BMI) และความดันโลหิตสูง เพื่อแยกแยะบุคคลที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 (T2D) ที่ยังไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน โดย AI มีความแม่นยำถึง 66% ในผู้หญิง และ 71% ในผู้ชายกันเลยทีเดียวค่ะ
ประเภทของโรคเบาหวาน
1. โรคเบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 diabetes (T1D) : เกิดจากร่างกายทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน ร่างกายจึงไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ โรคนี้มักพบในเด็กและวัยรุ่น
2. โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 diabetes (T2D) : เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ปัจจัยเสี่ยงหลักคือ ภาวะอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และพันธุกรรม
3. โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ (Other specific types of diabetes): เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน หรือการใช้ยาบางชนิด
4. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes): เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ มักจะหายไปหลังคลอด แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ในอนาคต
ความท้าทายในวิธีการคัดกรองโรคเบาหวานในปัจจุบัน
“วิธีการคัดกรองเบาหวานประเภท 2 ในปัจจุบันส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ต้องใช้ห้องปฏิบัติการและมีค่าใช้จ่ายสูง” Abir Elbeji หัวหน้าคณะนักวิจัยจาก Luxembourg Institute of Health ในประเทศลักเซมเบิร์กกล่าว “การผสมผสาน AI เข้ากับเทคโนโลยีเสียง อาจทำให้การทดสอบเข้าถึงได้ง่ายขึ้น การศึกษาครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกสู่การใช้การวิเคราะห์เสียง เป็นกลยุทธ์คัดกรองเบาหวานประเภท 2 ในขั้นต้น”
ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานประมาณครึ่งหนึ่ง (ประมาณ 240 ล้านคนทั่วโลก) ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ เนื่องจากอาการอาจไม่ปรากฏเลยก็ได้ โดยประมาณ 90% ของผู้ป่วยเหล่านี้เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งการตรวจพบ และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ ดังนั้นการลดจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยมาก่อนจึงถือเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่เร่งด่วน
การวิจัย AI ตรวจเบาหวาน
การศึกษาครั้งนี้ออกแบบมาเพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของอัลกอริทึม AI ที่ใช้เสียงเพื่อตรวจจับว่าผู้ใหญ่มีโรคเบาหวานประเภทที่ 2 หรือไม่ โดยนักวิจัยขอให้ผู้ใหญ่จำนวน 607 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น และไม่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 บันทึกเสียงของตัวเองขณะอ่านประโยคไม่กี่ประโยคจากสมาร์ทโฟน หรือแล็ปท็อปของพวกเขา ผู้หญิงและผู้ชายที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 มักมีอายุมาก และมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2
จากเสียงทั้งหมด 607 รายการ อัลกอริธึม AI ได้วิเคราะห์คุณลักษณะของเสียงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับเสียง ความเข้มข้น และน้ำเสียง เพื่อระบุความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เป็นและไม่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่ง AI นี้ใช้เทคนิคขั้นสูง 2 แบบ
1. จับลักษณะเสียงที่ละเอียดถึง 6,000 ลักษณะ
2. การเรียนรู้เชิงลึกที่ซับซ้อน ซึ่งเน้นที่ชุดคุณลักษณะสำคัญที่ได้รับการปรับแต่งจำนวน 1,024 รายการ
การประเมินผลของโมเดลที่ดีที่สุด จะถูกจัดกลุ่มตามปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างของโรคเบาหวาน เช่น อายุ ดัชนีมวลกาย และความดันโลหิตสูง และเปรียบเทียบกับเครื่องมือประเมินความเสี่ยงที่เชื่อถือได้ของสมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน หรือ American Diabetes Association (ADA) โดยอัลกอริทึม AI ที่ใช้เสียงนี้แสดงให้เห็นความสามารถในการทำนายโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถระบุผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ของเพศชายถูกต้องที่ 71% และเพศหญิงถูกต้องที่ 66% และ โมเดล AI นี้มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีก เมื่อใช้กับผู้หญิงที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ ผลตรวจจาก AI ยังมีความสอดคล้องถึง 93% กับคะแนนความเสี่ยงของ ADA ที่อิงจากแบบสอบถาม แสดงให้เห็นว่า AI ที่ใช้การวิเคราะห์เสียงมีประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องมือคัดกรองที่ยอมรับกันอยู่ตอนนี้นั่นเองค่ะ
ความท้าทายในอนาคตของ AI ตรวจเบาหวาน
“แม้ผลการศึกษาของเราจะมีแนวโน้มดี แต่จำเป็นต้องมีการวิจัย และตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนที่วิธีการนี้จะมีศักยภาพพอ ที่จะนำไปใช้สำหรับการตรวจคัดกรองเบาหวานในขั้นแรก และช่วยลดจำนวนผู้ที่มีโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย ขั้นตอนต่อไปของเราคือการมุ่งเป้าไปที่กรณีของเบาหวาวประเภทที่ 2 ในระยะเริ่มต้น และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน” Dr. Guy Fagherazzi จากสถาบันสุขภาพลักเซมเบิร์กลักเซมเบิร์กได้กล่าวไว้
ที่มา : scitechdaily.com