บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง กรมควบคุมโรค เตือนระวัง “แมลงริ้นฝอยทราย” พาหะนำโรคลิชมาเนียกันนะคะ โดยกรมควบคุมโรค ออกมาแจ้งเตือนให้ระวัง “แมลงริ้นฝอยทราย” ซึ่งเป็นพาหะนำโรคลิชมาเนีย และปีนี้ มีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 2 รายนะคะ พร้อมแล้วตามมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ

 

 

 

 

กรมควบคุมโรค เตือนระวัง “แมลงริ้นฝอยทราย” พาหะนำโรคลิชมาเนีย เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค เตือนภัยถึงความอันตรายของ “โรคติดเชื้อโปรโตซัวลิชมาเนีย” ซึ่งมีแมลงริ้นฝอยทรายเป็นพาหะนำโรค

 

 

 

โดยระบุว่า พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีพบ การติดเชื้อโรคลิชมาเนีย (LEISHMANIASIS) ในผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศในตะวันออกกลางมายังประเทศไทย ว่า สำหรับโรคลิชมาเนีย เป็นโรคที่เกิดจากสัตว์ โดยมี แมลงริ้นฝอยทราย เป็นพาหะ ประเทศไทยเองก็พบโรคลิชมาเนียมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้โรคลิชมาเนียนี้ เป็นโรคติดเชื้อโปรโตซัวลิชมาเนีย มีริ้นฝอยทรายเป็นพาหะนำโรค ตั้งแต่ปี 2539 – 2568 พบรายงานผู้ป่วยโรคลิชมาเนียในประเทศไทย 45 ราย เสียชีวิต 7 ราย ในปี 2568 พบผู้ป่วยโรคลิชมาเนีย จำนวน 2 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย แนะประชาชน ทายากันยุง และสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปในป่า หรือพื้นที่ชื้นแฉะควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้าน ไม่ให้มีกองไม้/กองฝืน เศษใบไม้ทับถม และพื้นที่ชื้นแฉะ

 

แมลงริ้นฝอยทรายพาหะนำโรค

 

 

 

ตัวมีขนาดเล็กกว่ายุง 4-5 เท่า อาจมีสีดำ ขาว น้ำตาล มีขนปกคลุมทั่วตัว รูปปีกเหมือนปลายหอก ปีกตั้งเป็นรูปตัว V ตัวเมียกินเลือดทั้งคนและสัตว์ หากินไม่ไกลจากแหล่งอาการ ออกหากินมากตอนพลบค่ำ และออกหากินตลอดทั้งคืน ช่วงเวลากลางวันที่มืดครึ้มก็ออกหากินได้เหมือนกัน ตัวเมียจะวางไข่ตามพื้นดินชื้นแฉะที่มีอินทรีย์สูง เช่น คอกสัตว์ กองขยะ ใบ้ไม้ทับถม รูหนู โพรงไม้ โพรงดิน เป็นต้น แหล่งเชื้อโรคอยู่ที่ไหนบ้าง โรคลิซมาเนีย สามารถติดต่อสู่คนที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งเพราะพันธุ์ของริ้นฝอยทราย เช่น พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม หากเข้าป่าไปตัดฟืน หาของป่า ล่าสัตว์ อยู่เป็นประจำ ควรสวมเสื้อผ้าผกปิดทั่วร่างกายและเก็บกวาดบริเวณใกล้บ้านให้ปราศจากรูหนู กองไม้ กองขยะ กองฟืน แหล่งใบไม้ทับถม โพรงไม้เพื่อป้องกันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ริ้นฝอยทราย รวมถึงดูแลสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว วัว ควาย ไม่ให้ริ้นฝอยทรายมากินเลือดได้

 

 

โรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis)

 

 

 

  • ลักษณะโรค เป็นโรคจากการติดเชื้อปรสิตลิชมาเนีย
  • มักเกิดจากการถูกริ้นฝอยทรายที่เป็นพาหะของเชื้อกัด ส่วนใหญ่จะแพร่ระบาดในบริเวณที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นหรือกึ่งร้อนชื้น โดยเฉพาะแถบเอเชีย แอฟริกา หรืออเมริกาใต้
  • ผู้ป่วยแต่ละรายจะแสดงอาการป่วยแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น อาจเกิดแผลตรงผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด เกิดแผลที่เยื่อบุจมูกหรือปาก ตับและม้ามโต ผิวซีด หรือเป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น

 

สาเหตุของการเกิดโรคนี้

 

โรคลิชมาเนียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัวลิชมาเนีย (Leishmania) สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ผ่านการถูกริ้นฝอยทราย (sand fly) ที่มีเชื้อกัด เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคหลายรูปแบบ ที่พบมากที่สุดคือชนิดที่มีผลต่อผิวหนัง หรือ ชนิดที่มีผลต่ออวัยวะภายใน อาการของโรค เกิดได้ 3 ลักษณะ คือ

  1. เกิดแผลที่ผิวหนัง (Cutaneous Leishmaniasis:CL) อาการ เช่น ตุ่มนูนพองใสและแดง แผล ซึ่งอาจเป็นแผลเปียก หรือแผลแห้ง แผลมักมีขอบ อาจแผลเดียวหรือหลายแผล แผลลุกลามรวมกันเป็นแผลใหญ่ได้ หรืออาจเป็นตุ่มๆ กระจายทั่วตัว
  1. เกิดแผลที่เยื่อบุบริเวณปาก จมูก (Mucocutaneous Leishmaniasis : MCL) เป็นแผลตามใบหน้าโพรงจมูก ปาก และลำคอ อาจทำให้รูปหน้าผิดไปจากเดิม มีไข้ ซีด อ่อนเพลีย นํ้าหนักลด หากอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาก็ถึงกับเสียชีวิตได้
  1. พยาธิสภาพกับอวัยวะภายใน (Visceral Leishmaniasis: VL หรือปัจจุบันนิยมเรียกว่าคาลา – อซาร์ (Kala – azar)) ข้อบ่งชี้ที่สำคัญตามนิยามขององค์การอนามัยโลก คือ ไข้เรื้อรังมากกว่า 10 วัน ผอม (weight loss) ซีด (pale) ม้ามโต (splenomegary) ตับโต

 

วิธีการติดต่อ

เกิดจากคนถูกแมลงริ้นฝอยทรายที่มีเชื้อปรสิต ลิชมาเนียกัด ภายหลังถูกกัด เชื้อปรสิตนี้จะเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า Macrophage ซึ่งในเม็ดเลือดขาวนี้ เชื้อฯจะแบ่งตัวรวดเร็วและมากมาย ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวแตก หลังจากนั้นเชื้อก็จะแพร่กระจายสู่เม็ดเลือดขาวเซลล์อื่นๆต่อไป ระยะติดต่อ เชื้อลิชมาเนียใช้เวลาในการเจริญเติบโตในริ้นฝอยทราย 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม

การแพร่กระจายโรคเกิดขึ้นได้เมื่อริ้นฝอยทรายกัดดูดเลือดตั้งแต่ครั้งที่ 2 และเชื้ออยู่ได้นานถึง 10 วัน ผู้ป่วยหลังให้การรักษาจนหายแล้วอาจปรากฏอาการทางผิวหนังที่เรียกว่า Post Kala-azar Dermal Lesion (PKDL) เช่น ตุ่มนูน (nodule) ปื้น (papule) ด่างดวง(macular) หรือหลายลักษณะร่วมกัน (mixed)

 

การรักษา

ยารักษามีทั้งชนิดทาแผล รับประทาน และฉีด แต่ยาประเภทหลังมีอาการข้างเคียงค่อนข้างรุนแรงต่อผู้ป่วยซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ในโรงพยาบาล

 

 

 

 

ที่มา :  กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข