ลอสแอนเจลิสกำลังเผชิญกับไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไฟป่าซึ่งยังควบคุมไม่ได้กำลังลุกลามอย่างหนักในบางพื้นที่ของลอสแอนเจลิส พร้อมทิ้งร่องรอยความเสียหายรุนแรงไว้เบื้องหลัง ไฟป่าครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยพื้นที่อย่างน้อย 31,000 เอเคอร์ (ราว 125.45 ตารางกิโลเมตร) ถูกเผาทำลายไปแล้ว และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย และอาคารบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกทำลาย ไฟป่าพาลิเซดส์ (Palisades fire) ซึ่งเป็นจุดแรกที่เกิดขึ้นและยังคงรุนแรงที่สุด ได้เผาทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมถึงย่านแปซิฟิก พาลิเซดส์ (Pacific Palisades) ซึ่งเป็นย่านหรูและเป็นที่อยู่ของคนดังอย่าง เมล กิบสัน และปารีส ฮิลตัน ส่วนสาเหตุของไฟป่าในจุดนี้ รวมถึงไฟป่าอีก 3 จุดในภูมิภาค ยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน ไฟป่าอีกจุดหนึ่งคือ เคนเนธไฟร์ (Kenneth fire) ได้ปะทุขึ้นใหม่ในเขตเวสต์ฮิลส์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยทางการได้ควบคุมตัวชายคนหนึ่งในข้อสงสัยว่าเขาอาจเป็นผู้ลอบวางเพลิง
5 เหตุผล ที่ทำให้ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
อะไรทำให้ไฟป่าในลอสแอนเจลิสครั้งนี้รุนแรงและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มาดูกันค่ะ
1. พืชกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าฝนที่ตกหนักในปี 2024 ซึ่งเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่าในฤดูหนาวนี้ รอรี แฮดเดน นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อัคคีภัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ อธิบายว่า “ฝนที่ตกก่อนเกิดไฟป่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของพืชพรรณอย่างมาก ซึ่งต่อมากลายเป็นเชื้อเพลิงได้ จากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงอากาศแห้ง พืชพรรณเหล่านี้จะแห้งอย่างรวดเร็วและมีปริมาณมากขึ้น ทำให้มีเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น” มาเรีย ลูเซีย เฟอร์เรรา บาร์โบซา นักวิทยาศาสตร์ด้านไฟป่าจากศูนย์นิเวศวิทยาและอุทกวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า สภาพอากาศที่เปียกชื้นในปี 2024 ตามด้วยช่วงอากาศแห้ง ได้สร้าง “เงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับการแพร่กระจายของไฟป่า” การเปลี่ยนแปลงจากสภาพอากาศที่เปียกชื้นอย่างมากไปสู่สภาพอากาศที่แห้งแล้งอย่างรวดเร็วเรียกว่า “ไฮโดรไคลเมต วิปแลช” (Hydroclimate Whiplash) งานวิจัยล่าสุดพบว่า ความเสี่ยงของการเกิดสภาพอากาศเช่นนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
2. ลมที่ร้อนและแห้งราวกับไดร์เป่าผม
ลมซานตาอานา (Santa Ana) ที่ร้อนและแห้ง พัดมาจากเขตทะเลทรายของแคลิฟอร์เนีย และพาเอากลุ่มควันไฟออกสู่ทะเล ลมแรงช่วยพัดพาเปลวไฟจากเทือกเขาทางตะวันตกของลอสแอนเจลิสให้กลายเป็นไฟป่าที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยไฟได้ลามผ่านพืชพรรณแห้งและเผาผลาญย่านแปซิฟิกพาลิเซดส์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับซานตา โมนิกา ลมเหล่านี้มักร้อนและแห้ง ทำให้ความชื้นในพืชพรรณลดลงไปอีก รอรี แฮดเดน กล่าวว่า “สำหรับไฟป่า ทุกครั้งต้องมีสามองค์ประกอบ ได้แก่ ต้นเหตุการจุดติดไฟ วัตถุที่ติดไฟได้ และออกซิเจนจากอากาศ” อย่างไรก็ตาม ความเร็วลมจากทะเลทรายแคลิฟอร์เนียทำให้ไฟป่าในครั้งนี้รุนแรงเป็นพิเศษ ลมเหล่านี้รู้จักกันในชื่อ “ซานตาอานา” (Santa Ana) หรือ “เฟิน” (Föhn) หรือ “ลมไดร์เป่าผม” (hairdryer winds) ลมประเภทนี้ทำให้พฤติกรรมของไฟป่าผันผวนและไม่แน่นอน แฮดเดน อธิบายเพิ่มเติมว่า “ลมเหล่านี้แห้งมากและพัดด้วยความเร็วสูง ดังนั้นเมื่อไฟปะทุขึ้น มันจึงสามารถลุกลามและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว” ในบางกรณี พายุลมแรงเหล่านี้สามารถทำให้เกิดไฟป่าได้ด้วยตัวเอง ผ่านการพัดสายไฟฟ้าให้ล้มลง ซึ่งทำให้เกิดประกายไฟและลุกลามไปยังพืชพรรณใกล้เคียง
3. สะเก็ดไฟ
สะเก็ดไฟหรือเศษวัสดุที่ติดไฟ ถูกกระแสลมแรงพัดพาไป และอาจกลายเป็นตัวช่วยให้ไฟลุกลามจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ แฮดเดนอธิบายว่า ลมเหล่านี้ไม่เพียงแค่กระพือไฟให้ลุกลามเท่านั้น แต่ยังพัดพาเศษเถ้าถ่านหรือ “สะเก็ดไฟ” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนในเหตุการณ์ไฟป่ามาด้วย ตามคำอธิบายของแฮดเดน “สิ่งต่าง ๆ เช่น ถนนหรืออาคาร อาจขวางทางเปลวไฟไว้ได้… แต่ไม่มีอะไรหยุดยั้งสะเก็ดไฟเหล่านี้ได้ และพวกมันเคลื่อนที่ไปได้ไกลมาก” ลมสามารถพัดพาสะเก็ดไฟจากต้นไม้ที่กำลังลุกไหม้และพามันปลิวไปข้างหน้าได้ พวกมันอาจร่วงลงห่างจากจุดต้นกำเนิดเพียงไม่กี่เมตรและจุดไฟกองใหม่ขึ้น หรืออาจปลิวไปไกลเป็นระยะท หากสะเก็ดไฟปลิวไปติดที่บ้านเพียงหลังเดียวแล้วเกิดไฟไหม้ขึ้น ทีมดับเพลิงอาจสามารถควบคุมเพลิงได้ “แต่ปัญหาคือ สะเก็ดไฟมักทำให้บ้านหลายสิบหลังลุกไหม้พร้อมกัน และสะเก็ดไฟก็จะเยอะขึ้นจากบ้านแต่ละหลัง ทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโน” แฮดเดนกล่าว “ลมจะพัดพาสะเก็ดไฟเหล่านี้ให้ปลิวไปเรื่อย ๆ” นอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว สะเก็ดไฟยังเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้คนที่อยู่ในเส้นทางของไฟป่า “มันเหมือนพายุหมุนของสะเก็ดไฟ ไม่มีออกซิเจนเลย” อเล็ก เกลลิส กล่าวกับซีบีเอสนิวส์ซึ่งเป็นพันธมิตรของบีบีซีในสหรัฐฯ หลังบ้านแฟนสาวของเขาถูกไฟไหม้จากเหตุไฟป่า “ผมเกือบจะไปไม่ถึงรถของตัวเองแล้ว”
4. เนินเขาและหุบเขา
ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาในพื้นที่ลอสแอนเจลิสทำให้ไฟป่ารุนแรงขึ้น ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเนินเขาในพื้นที่ยังเพิ่มความเสี่ยงจากไฟป่าอีกด้วย “ไฟจะลุกลามขึ้นเนินรวดเร็วมาก” รอรี แฮดเดน กล่าว “ลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างหุบเขาและร่องเขาสามารถทำให้ไฟมีพฤติกรรมรุนแรงจนยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมได้” ภูมิประเทศเช่นนี้ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงในการลุกลามของไฟ แต่ยังทำให้การอพยพยากขึ้นอีกด้วย ในพื้นที่พาลิเซดส์ ถนนบนเนินเขาที่แคบยิ่งเพิ่มความท้าทายสำหรับผู้ที่พยายามอพยพออกจากพื้นที่ ไมก์ โบนิน อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครลอสแอนเจลิส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์
5. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ฝนตกหนักในปี 2024 ที่เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าในลักษณะนี้ “มันไม่ใช่แค่เรื่องอากาศที่ร้อนขึ้นและแห้งแล้งขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว ทั้งเปียกชื้น ลมแรง ร้อน และแห้งในเวลาเดียวกัน” แฮดเดนกล่าว งานวิจัยของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของไฟป่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้น ภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน และบรรยากาศที่ดูดความชื้นมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงและขอบเขตของไฟป่าในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น”
สำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration) ระบุ หลังจากฤดูร้อนที่อบอุ่นอย่างมากและฝนที่ตกน้อยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐแคลิฟอร์เนียก็ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยทั่วไป ฤดูไฟป่าในแคลิฟอร์เนียตอนใต้มักกินเวลาตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ต.ค. แต่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวซัม ชี้ให้เห็นว่าไฟป่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงเวลาเหล่านั้นอีกต่อไป “ตอนนี้ไม่มีฤดูไฟป่าแล้ว” เขากล่าว “แต่มันกลายเป็นเรื่องของไฟป่าทั้งปี”