บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับ 10 วิธีลดกรดยูริคในร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ เลี่ยงโรคเกาต์ กันนะคะ กรดยูริคเป็นของเสียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการย่อยอาหารที่มีสารพิวรีน และสารพิวรีนนั้นพบได้ในอาหารบางชนิด และถูกสร้างขึ้นและสลายตัวภายในร่างกายของคนเรา โดยปกติร่างกายจะกรองกรดยูริคผ่านไต และขับออกทางปัสสาวะ หากเราบริโภคสารพิวรีนมากเกินไป หรือหากร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียนี้ได้อย่างรวดเร็วพอ กรดยูริคอาจสะสมในเลือดได้

 

 

ระดับกรดยูริคที่เป็นปกติจะอยู่ต่ำกว่า 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ระดับกรดยูริคสูง (มากกว่า 6.8 mg/dL) ถือว่าเป็นภาวะยูริคีเมีย (hyperuricemia) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเกาต์ และทำให้เลือด และปัสสาวะของเราเป็นกรดมากเกินไป สำหรับวิธีการควบคุมปริมาณกรดยูริคสามารถทำได้ โดยการจำกัดอาหารที่มีพิวรีนสูงนั่นเองค่ะและอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์บางชนิด อาหารทะเล และผักบางชนิด ซึ่งอาหารเหล่านี้เมื่อย่อยแล้วจะส่งผลให้เกิดกรดยูริคนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นตามมาดูพร้อมกันเลยค่ะว่า 10 วิธีลดกรดยูริคในร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ เลี่ยงโรคเกาต์ จะต้องทำอย่างไรกันบ้างนะคะ

 

10 วิธีลดกรดยูริคในร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ เลี่ยงโรคเกาต์

 

 

1. หลีกเลี่ยง หรือลดการบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น

– เนื้อแดง รวมถึงเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ
– เครื่องในสัตว ตับ ไส้ หัวใจ
– ปลา ปลาทะเล ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล
– หอย กุ้ง หอย ปู
– สัตว์ปีก ไก่ เป็ด ห่าน
อย่างไรก็ตามการศึกษาในปี 2020 พบว่าการลดการบริโภคผักที่มีพิวรีนสูงอาจจะไม่ส่งผลต่อระดับกรดยูริคมากนัก

 

2. หลีกเลี่ยงน้ำตาล

– ฟรุกโตส น้ำตาลธรรมชาติที่พบในผลไม้และน้ำผึ้ง เมื่อร่างกายย่อยสลายฟรุกโตส จะปล่อยสารพิวรีนออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้อาจมีกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น

ข้อสังเกต: ฟรุกโตสในเครื่องดื่มจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่าน้ำตาลในอาหารที่เป็นของแข็ง เนื่องจากเครื่องดื่มไม่มีใยอาหาร โปรตีน หรือสารอาหารอื่นๆ มาช่วยชะลอการดูดซึม

– น้ำตาลชนิดอื่นๆ นอกจากฟรุกโตสแล้ว น้ำตาลที่เติมลงในอาหาร เช่น น้ำตาลทรายไซรัปข้าวโพด และไซรัปข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง ก็มีส่วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้มีกรดยูริคในเลือดเพิ่มขึ้นตามมา (อ้างอิงจากงานวิจัยปี 2020)

 

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อขับกรดยูริค

การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ไตขับกรดยูริคออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ไตของเรามีหน้าที่กรองกรดยูริคออกจากร่างกายประมาณ 70% ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตจากกรดยูริคได้

 

4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น และจากงานวิจัยในปี 2021 พบว่าแอลกอฮอล์ยังกระตุ้นให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้นอีกด้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด เช่น เบียร์ มีปริมาณสารพิวรีนสูงกว่าชนิดอื่นๆ แต่แม้แอลกอฮอล์ที่มีสารพิวรีนต่ำก็สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารพิวรีนเพิ่มขึ้นได้

 

5. ดื่มกาแฟ ช่วยลดกรดยูริค

งานวิจัยในปี 2016 พบว่ากาแฟอาจช่วยลดระดับกรดยูริคในเลือดได้สองวิธีหลัก

– ยับยั้งการสลายสารพิวรีน: กาแฟจะไปแข่งขันกับเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายสารพิวรีนในร่างกาย ทำให้ลดอัตราการผลิตกรดยูริค

– เพิ่มการขับกรดยูริค: กาแฟช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะได้มากขึ้น

งานวิจัยอื่นๆ ในปี 2016 ก็พบว่ามีหลักฐานเพียงพอสนับสนุนประสิทธิภาพของคาเฟอีนในการลดระดับกรดยูริค นอกจากนี้ งานวิจัยในปี 2021 ยังพบว่าการดื่มกาแฟบ่อยๆ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงของภาวะยูริคีเมีย

 

6. ควบคุมน้ำหนัก เพื่อลดกรดยูริค

น้ำหนักเกินอาจส่งผลให้ระดับกรดยูริคสูงขึ้น เนื่องจากน้ำหนักเกินอาจทำให้ไตทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ น้ำหนักเกินยังอาจเพิ่มการผลิตกรดยูริคและลดการขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ

 

7. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อลดความเสี่ยงจากกรดยูริคสูง

งานวิจัยในปี 2019 พบว่าภาวะยูริคีเมียมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ผู้ที่มีภาวะก่อนเป็นเบาหวานหรือผู้ที่เป็นเบาหวาน ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะยูริคีเมีย อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสำรวจความเชื่อมโยงนี้

 

8. เพิ่มใยอาหารในอาหารของคุณ

การเพิ่มปริมาณใยอาหารในอาหารสามารถช่วยลดระดับกรดยูริคได้ นอกจากนี้ ใยอาหารยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ควรได้รับใยอาหารประมาณ 22-34 กรัมต่อวัน จากอาหารที่มีใยอาหารสูง ควรเพิ่มปริมาณใยอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหลีกเลี่ยงอาการไม่สบายทางเดินอาหาร

 

9. เพิ่มวิตามินซีเพื่อลดกรดยูริค

งานวิจัยในปี 2021 พบว่าการรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูงอาจช่วยลดระดับกรดยูริคได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจว่าวิตามินซีส่งผลต่อระดับกรดยูริคได้อย่างไร ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ประมาณ 75-120 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน คุณสามารถได้รับวิตามินซีจากอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้และผักต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซีเสริมจำหน่ายทั่วไป

 

10. รับประทานเชอร์รี่ เพื่อลดกรดยูริค

งานวิจัยในปี 2019 พบว่าการรับประทานเชอร์รี่ และการดื่มน้ำเชอร์รี่สามารถช่วยลดระดับกรดยูริคในผู้ป่วยโรคเกาต์ได้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลในระยะยาวของการบริโภคเชอร์รี่ต่อระดับกรดยูริค เชอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ทำให้เชอร์รี่มีสีแดง นอกจากนี้ เชอร์รียังเป็นแหล่งของใยอาหารและวิตามินซีที่ดีอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

ที่มา : healthline