ช่วงนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆนะคะ เพราะเป็น่วงของฤดฤดูฝนด้วยนั่นเองค่ะ เป็นสาเหตุอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ ของหลายๆคน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่ ไม่เว้นวัยกันเลยค่ะ หลายทีที่ต้องหยิบ ATK มาตรวจอยู่ตลอด หากขึ้น 2 ขีด (ติดโควิด-19) ก็รักษากันไป แต่หลายคนตรวจแล้วขึ้นขีดเดียว (ไม่ติดโควิด-19) แต่สังเกตอาการแล้ว ก็มันไม่เหมือนไข้หวัดทั่วไปเสียทีเดียว เพราะฉะนั้นเรามาดูอาการเปรียบเทียบของโรคโควิด-19 กับโรคไข้เลือดออกกันนะคะ ซึ่งในปีนี้มีคนไทยป่วยแล้วกว่า 16,000 คน มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 65 ถึง 5.4 เท่า โรคนี้หากรักษาไม่ทันท่วงที เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กๆนะคะ

 

ความแตกต่างของอาการ “โรคไข้เลือดออก” กับ “โควิด-19”

 

 

 

อาการของโรคไข้เลือดออก

– จะมีอาการไข้ขึ้นสูงและลอยประมาณ 2-7 วัน
– มีผื่น หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
– เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
– ปวดท้อง อ่อนเพลีย รับประทานอาหารได้น้อย
– บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือด
– ถ้ารุนแรงอาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
– มักไม่พบอาการไอหรือมีน้ำมูก การหายใจลำบากหรือปอดอักเสบ

 

อาการของโรคโควิด-19

– จะมีไข้ต่ำถึงสูง
– ปวดเมื่อยตามตัว
– เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ
– มีน้ำมูก หอบเหนื่อยหายใจลำบาก
– ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง
– อาเจียน อ่อนเพลีย ท้องเสีย
– มีในบางราย มีเลือดออกตามผิวหนัง

ทั้งนี้ โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 หรือ “อาร์คทูรัส” ที่กำลังระบาดหลักในไทย ยังมีอาการเพิ่มเติมคือ เยื่อบุตาอักเสบ คันตา ขี้ตาเหนียว ลืมเปลือกตาไม่ขึ้น มีผื่นคัน

 

 

เพราะฉะนั้นเมื่อมีอาการไม่สบาย ควรหมั่นสังเกตอาการ หรือตรวจด้วย ATK ก็สามารถคัดกรองแยกโรคเบื้องต้นได้นะคะ แต่ในกรณีที่แยกไม่ได้ จะต้องตรวจเลือด เช่น การหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด และการตรวจหาโปรตีนเอ็นเอสหนึ่ง (NS1) เพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกของไข้ จะช่วยวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้อย่างแม่นยำค่ะ

 

และสิ่งที่ควรรู้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ไข้เลือดออกสามารถเป็นพร้อมโควิด-19 ได้ด้วยนะคะ

 

 

– โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ มี 4 สายพันธุ์ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค

– ส่วนโรคโควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด SARS-CoV-2 สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก

แต่ในกรณีถ้าเกิดการระบาดพร้อม ๆ กัน ก็จะมีโอกาสพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 และเป็นไข้เลือดออกได้เช่นกันค่ะ ในผู้ป่วยไข้เลือดออกในระยะวิกฤต จะมีน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ซึ่งถ้าไม่ได้รับสารน้ำทดแทนอย่างทันท่วงที จะทำให้เกิดภาวะช็อกนาน จนเกิดตับวาย ไตวาย และอวัยวะอื่น ๆ ทำงานล้มเหลว จนเสียชีวิตได้

 

เช็กอาการไข้เลือดออกระยะวิกฤต

สัญญาณอันตรายที่น่าสงสัยว่า เป็นไข้เลือดออกในระยะวิกฤต และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะช็อก ได้แก่ ปวดท้องรุนแรง กระสับกระส่าย หรือร้องงอแงผิดปกติในทารก มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อยลง ต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที
ส่วนในรายที่มีไข้สูง 2-3 วัน โดยไม่มีอาการไอ น้ำมูกที่ชัดเจน ควรพาไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์วินิจฉัย หรือส่งตรวจเลือดเพื่อเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก ก่อนจะเข้าสู่ระยะวิกฤตได้

การรักษาโรคไข้เลือดออก

การรักษาไข้เลือดออกปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส เป็นการรักษาตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพรินไอบูโพรเฟน
ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ ร่วมด้วย

การรักษาโรคโควิด-19

ส่วนโรคโควิด-19 หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เมื่อมีไข้หรือปวดศีรษะ ให้ทานยาลดไข้ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ไม่เกิน 2-3 วัน จะค่อย ๆ ดีขึ้น หากมีน้ำมูก ให้ทานยาลดน้ำมูกเท่าที่จำเป็น หรือถ้าน้ำมูกข้นเขียว
ในเด็กโตสามารถล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หากมีอาการไอให้รับประทานยาแก้ไอตามอาการ และจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ หน้าอกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ตอนหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94% ซึมลง งอแง ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร ถ่ายเหลว หรืออาเจียนมากต่อเนื่องกัน ควรรีบนำเด็กไปโรงพยาบาล

 

 

 

ที่มา : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, กรมควบคุมโรค, Thai PBS