บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับ เทคนิคการขับรถลุยน้ำท่วม พร้อมวิธีดูแลหลังขับรถลุยน้ำกันนะคะ สำหรับการขับรถลุยน้ำท่วม ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพราะอาจทำให้รถพังได้เลยนะคะ โดยเฉพาะอย่างผู้ที่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่อย่างในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่เป็นพื้นที่ต่ำ ต้องพบกับปัญหาน้ำท่วมอยู่เสมอ ดังนั้นการเตรียมรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้จึงถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รถได้รับความเสียหาย หรือเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดนั่นเองค่ะ ดังนั้นทุกคนต้องเรียนรู้การเอาตัวรอดจากพื้นที่น้ำท่วมขังให้ได้ เพื่อไม่ให้รถมีปัญหานะคะ

สิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงก็คือ ระดับน้ำสูงแค่ไหนที่รถสามารถบุกฝ่าไปได้ การรู้จักพื้นที่และรถของคุณเองเป็นเรื่องที่จะทำให้การตัดสินใจว่าจะขับรถลุยน้ำท่วม หรือเลือกเส้นทางอื่นดีค่ะ หากเจอพื้นที่ตรงหน้ามีน้ำท่วมขังแล้วคิดว่าควรขับต่อไปหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากระดับน้ำดังนี้เลยค่ะ

 

 

1. ระดับน้ำสูงไม่ถึงท่อไอเสีย

หากพื้นที่น้ำท่วมขังที่คุณมองเห็นอยู่ด้านหน้ามีความสูงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าขอบตัวถังรถเก๋ง หรือยังไม่ท่วมถึงท่อไอเสีย นั่นแสดงว่าระดับน้ำยังต่ำอยู่มากสามารถขับเคลื่อนรถผ่านไปได้ เพียงแต่ว่าต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำทะลักเข้าทางท่อไอเสีย ไม่เช่นนั้นอาจทำให้รถดับระหว่างทางก็เป็นไปได้ ไม่ควรใช้ความเร็วที่สูงในพื้นที่น้ำท่วมขัง เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนในบริเวณนั้น รวมไปถึงหากมีรถคันอื่นที่วิ่งสวนทางมากับขับรถที่มีความเร็วอาจทำให้เกิดคลื่นน้ำไหลทะลักเข้ามาในตัวถังรถเก๋งขนาดเล็กได้เช่นกันค่ะ

2. ระดับน้ำสูงระดับเดียวกับท่อไอเสีย

โดยส่วนใหญ่แล้วความสูงของรถเก๋งในระดับมาตรฐานจะมีความสูงอยู่ที่ 30 เซนติเมตรโดยประมาณ นั่นหมายความว่าถ้าหากพื้นที่ที่ท่านขับรถลุยน้ำเข้าไปมีความสูงในระดับเทียบเท่ากับตัวถังรถแล้ว จะต้องระมัดระวังมาก ๆ แม้ว่าความสูงของท่อไอเสียรถจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำก็ตาม แต่ก็มีโอกาสที่น้ำจะทะลักเข้ามาในตัวถังรถได้ง่าย เป็นพื้นที่ที่รถขนาดเล็กไม่ควรฝ่าขับเข้าไปโดยเด็ดขาด

3. ระดับน้ำสูงระดับเดียวกับตัวถังรถ

หากระดับน้ำในพื้นที่ตรงหน้ามีความสูงอยู่ปริ่มระดับเดียวกับความสูงของรถกระบะ หรือเกือบถึงบริเวณตัวถังรถกระบะ ให้ถือว่าไม่เหมาะที่จะนำรถเก๋งทุกประเภทเข้าไปในพื้นที่แห่งนั้นโดยเด็ดขาด เพราะความสูงของรถกระบะส่วนมากจะมีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งสูงเกินกว่าตัวถังของรถเก๋งส่วนบุคคลแล้วนั่นเองค่ะ พื้นที่เหล่านี้จะเหมาะสมแต่เฉพาะรถกระบะทรงสูงเท่านั้นที่จะสามารถขับผ่านไปได้

4. ระดับน้ำสูงมากกว่าขอบตัวถังรถ

หากพื้นที่ที่คุณต้องการขับรถเข้าไปนั้นมีระดับน้ำสูงเทียบเท่ากับตัวถังของรถกระบะ ถือเป็นพื้นที่วิกฤตสำหรับการขับรถลุยน้ำท่วมแล้ว โดยเฉพาะกับรถเก๋งส่วนบุคคลนั้นมีโอกาสถูกน้ำไหลทะลักเข้ามาในตัวรถอย่างแน่นอนค่ะ และแม้แต้รถกระบะทรงสูงเอง ความสูงของน้ำในระดับของตัวถัง มักมีความสูงเท่ากับระดับของท่อไอเสีย ทำให้น้ำสามารถไหลเข้าไปยังห้องเครื่อง และสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ ถือว่าเป็นระดับความสูงของน้ำที่ไม่ควรให้รถที่ถูกสร้างตามมาตรฐานของโรงงานเข้าไป เว้นไว้แต่ รถที่ถูกดัดแปลงมาเพื่อให้ความช่วยเหลือในพื้นที่น้ำท่วม หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถขับผ่านเข้าไปได้

 

การดูแลรถหลังขับรถลุยน้ำท่วม

 

 

การขับรถลุยน้ำท่วมนั้น มีขั้นตอนตั้งแต่การตัดสินใจขับรถลุยน้ำท่วมเข้าไป ทั้งการรักษาระดับการเร่งเครื่องยนต์เพื่อป้องกันไม่ให้รถดับระหว่างขับรถลุยน้ำ การรักษาความเร็วเดินทางระหว่างการขับรถสวนกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รถคันอื่น

เมื่อสามารถขับรถผ่านพ้นพื้นที่น้ำท่วมมาได้ สิ่งที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกคือ

1. จอดรถพร้อมกับสตาร์ตเครื่องทิ้งไว้สักระยะ อย่างน้อยที่สุดควรใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อการไล่ไอน้ำออกให้หมด โดยเฉพาะในส่วนของห้องเครื่องยนต์ที่อาจมีความชื้นเข้าไป

2. เมื่อผ่านพ้นระยะเวลาการตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดปกติใด ๆ ก็สามารถขับรถต่อไปได้

3. หลังจากนั้นต้องทำการตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดพร้อมทำการล้างและเช็ดให้แห้งมั่นใจให้ส่วนต่าง ๆ ของรถแห้งสนิท ป้องกันการเกิดขี้ตะกรันจากความร้อนและคราบดินคราบโคลนที่มากับน้ำเกาะติดตัวถังรถ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ชิ้นส่วนของรถเสียหายชำรุดก่อนเวลาอันควร