เชื่อว่าคงมีหลายคนเคยสงสัยนะคะ ว่า บัตรทอง กับ ประกันสังคมนั้น แตกต่างกันอย่างไร แล้วสิทธิประโยชน์อันไหนดีกว่ากัน บทความนี้จะมาคลายความข้องใจกันนะคะว่า สิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาลแต่ละตัวเป็นยังไง แตกต่างกันตรงไหน ไปดูพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ

ความแตกต่างของ บัตรทอง กับ ประกันสังคม

 

 

ทั้งสองอย่างนับเป็นสวัสดิการจากรัฐทั้งคู่เลยนะคะ ที่ให้หลักประกันทางสุขภาพแก่ประชาชนไทยทุกคนนั่นเองค่ะ เรามาทำความรู้จัก หลักประกันสุขภาพทั้ง 2 แบบกันดีกว่าค่ะ

1. ประกันสังคม

 

คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้ และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อรับผิดชอบเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากการเจ็บป่วย คลอดบุตรทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์ ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมาย โดยจะทำการหักเงินจากฐานเงินเดือน 5% สูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน

2. บัตรทอง

 

คือ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่คุ้นเคยกันว่า โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค นั้นเองค่ะ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติออกให้แก่ประชาชน ผู้มีสิทธิ คือ บุคคลที่มีสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ไม่มีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอื่นใดที่รัฐจัดให้ และต้องเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิประกันสังคม หรือผู้ที่ลาออกและเกษียณจากประกันสังคมแล้วเท่านั้น ถึงสามารถใช้สิทธิได้

 

บัตรทอง กับ บัตร 30 บาท ต่างกันอย่างไร

 

 

บัตรทอง บัตร 30 บาทรักษาทุกโรค และบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ สิทธิประโยชน์อันเดียวกันค่ะ เพื่อสร้างความเสมอภาคให้กับประชาชนทุกคน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาด้านสุขภาพที่จำเป็น โดยเป็นสิทธิตามกฎหมายขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนนั่นเองค่ะ

สิทธิประโยชน์ของ บัตรทอง กับ ประกันสังคม อันไหนดีกว่ากัน ?

สิทธิประโยชน์ของ บัตรทอง

– ไม่มีค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนหน่วยงานหรือสถานพยาบาลประจำเเล้วใช้สิทธิได้ทันที
– ใช้กับสถานพยาบาลประจำที่ลงทะเบียนไว้ เจ็บป่วยต่างพื้นที่เข้าสถานพยาบาลปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้าสถานพยาบาลรัฐเเละเอกชนที่อยู่ใกล้
– การย้ายสิทธิสถานพยาบาลทำได้ 4 ครั้งต่อปี
– ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและไม่มีวงเงิน
– ค่าอาหารเเละค่าห้องสามัญ
– ได้เพียงสิทธิรักษาฟรี ไม่มีเงินชดเชยว่างงานเหมือนประกันสังคม

ที่สำคัญคือ วงเงินค่ายาเป็นไปตามที่รัฐกำหนด หากผู้ใช้สิทธิต้องการใช้ยาชนิดที่ผลข้างเคียงน้อย จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ

สิทธิประโยชน์ของ ประกันสังคม

– ประกันสังคม ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน ตามเงื่อนไขถึงจะสามารถใช้สิทธิได้
– ใช้กับโรงพยาบาลที่เลือกสิทธิไว้ กรณีฉุกเฉินเข้าที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย
– การย้ายสิทธิสถานพยาบาล ย้ายได้ปีละครั้ง
– ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน ไม่เกิน 900 บาทต่อปี
– ค่าห้องเเละค่าอาหาร ไม่เกิน 700 ต่อวัน
– ได้รับชดเชย กรณีว่างงาน เกษียณ เสียชีวิต
– ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมได้ที่ https://www.sso.go.th/wpr/

สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ บัตรทองมีได้ทุกคน หากไม่มีสวัสดิการอื่นของรัฐ ส่วนพนักงานบริษัทได้สิทธิประกันสังคมอัตโนมัติ แต่หากมีประกันสังคมแล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ กรณีลาออกจากงาน และไม่อยากส่งประกันสังคมต่อ (ประกันสังคม มาตรา 39) สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ แต่ต้องลงทะเบียนใช้สิทธิก่อน

 

 

มีประกันสังคม ใช้สิทธิบัตรทองได้ไหม ?

ถ้ามีสิทธิประกันสังคม จะไม่สามารถใช้สิทธิสิทธิบัตรทองได้ โดยจะใช้สิทธิบัตรทองได้ต่อเมื่อลาออกจากสิทธิประกันสังคมอย่างน้อย 6 เดือนนะคะ

เปลี่ยน สิทธิประกันสังคม เป็นบัตรทอง ทำได้หรือไม่?

การย้ายสิทธิประกันสังคม เป็นสิทธิบัตรทองไม่สามารถทำได้โดยทันทีนะคะ
การจะเปลี่ยนสิทธิประกันสังคมเป็นบัตรทองนั้น ผู้ประกันตนกับประกันสังคมต้องออกจากการเป็นผู้ประกันตนก่อน ไม่ว่ามาตราใดก็ตามอย่างน้อย 6 เดือนนะคะ เพราะเมื่อลาออกแล้วทางประกันสังคม จะยังคุ้มครองต่ออีก 6 เดือน หลังจากครบ 6เดือนแล้ว จึงจะสามารถยื่นขอลงทะเบียนใช้สิทธิบัตรทองได้นั่นเองค่ะ

มี บัตรทอง กับ ประกันสังคม เพียงพอหรือไม่ ควรซื้อประกันสุขภาพหรือเปล่า?

สำหรับบัตรทองนั้น คนไทยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงอยู่แล้ว ส่วนประกันสังคมพนักงานบริษัทก็ถูกบังคับส่งเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือนอยู่แล้ว แม้จะได้สิทธิการรักษาหลายอย่าง แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ต้องเข้าใช้บริการแค่โรงพยาบาลที่ได้ลงทะเบียนไว้เท่านั้น ทำให้คิวรอการรักษาค่อนข้างจะหนาแน่นค่ะ

ส่วนประกันสุขภาพที่ซื้อเพิ่มเติมนั้น ก็ย่อมเข้าถึงการรักษาพยาบาลครอบคลุมมากกว่า และสามารถซื้อประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติมได้นั่นเองค่ะ อีกทั้งยังมีเงินชดเชยรายได้ (รายวัน) ในกรณีต้องหยุดงาน หรือขาดรายได้ เนื่องจากเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เราก็ต้องเสียเงินเพิ่มต่อปีอีกไม่น้อย เพราะฉะนั้นจึงต้องแล้วแต่ความสะดวกและความพร้อมของแต่ละคนเลยนะคะ แต่ยังไงก็เห็นได้ว่า ไม่ว่าจะใช้สิทธิการรักษาแบบไหนก็ต่างดีต่อผู้ใช้ทุกแบบเลยค่ะ และที่สำคัญเลยคือการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดนะคะ