ความลับจาก Harvard ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง ทำไมคนเก่ง 90% ถึงไม่ได้เป็นผู้นำ ? ความลับจาก Harvard ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันนะคะ คุณเคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง กลับไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ? หรือทำไมคนที่มีทักษะเทพๆ กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วเท่าคนที่ดู “ธรรมดา” กว่า ? คำตอบอยู่ที่สิ่งที่ Harvard Business School เรียกว่า “ความลับที่ซ่อนอยู่” ของความสำเร็จ มันไม่ใช่เรื่องของความเก่งด้านเทคนิคอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของ “วิธีคิดแบบผู้นำ” และ “ศิลปะการสร้างคอนเนคชั่น” นั่นเองค่ะ พร้อมแล้วตามมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
ทำไมคนเก่ง 90% ถึงไม่ได้เป็นผู้นำ ?

ความลับจาก Harvard ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
1. “ผู้นำที่แท้ไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่อยู่ข้างหลัง” (Servant Leadership) ลืมภาพผู้นำแบบ “บอสใหญ่นั่งสั่งงาน” ไปได้เลย ผู้นำยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ กลับเป็นคนที่ยอม “ลงมาทำงานเล็กๆ น้อยๆ” ร่วมกับทีม – ตัวอย่างที่ชัดมาก Howard Schultz CEO ของ Starbucks เขาไม่ได้แค่พูดว่า “พนักงานสำคัญ” แต่เขาเป็นคนแรกๆ ในอเมริกาที่ให้ประกันสุขภาพเต็มรูปแบบให้กับพนักงานพาร์ทไทม์ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเขาเชื่อว่า “ถ้าบาริสต้าไม่มีความสุข เขาจะส่งต่อกาแฟที่อร่อยให้ลูกค้าได้ยังไง ? ” นี่คือหลักการ “ผู้นำทีอยู่หลัง” – คุณดูแลทีมก่อน ทีมจะดูแลธุรกิจให้คุณเอง
2. “คาริสม่าที่สร้างได้” (Transformational Leadership) Steve Jobs ไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถในการ “ขายฝัน” แต่เขาฝึกฝนจนกลายเป็นคนที่พูดแล้วทำให้คนอื่นอยากทำตาม พนักงานของเขาบอกว่า “เวลา Steve มองตาเรา เราจะรู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ” แต่ระวัง แบบนี้มีข้อเสียคือ ถ้าผู้นำหายไป องค์กรอาจล้มได้ (คิดดูสิ Apple หลัง Jobs เสียชีวิต แม้จะยังประสบความสำเร็จ แต่ “จิตวิญญาณ” บางอย่างหายไป) วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ฝึกพูดถึง “วิสัยทัศน์” ของงานที่ทำอยู่ แทนที่จะบอกว่า “เราต้องทำรายงาน” ลองเปลี่ยนเป็น “เราจะสร้างรายงานที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหารไปเลย”
3. “ไม้แข็งกับไม้นวม ยังใช้ได้ผลอยู่นะ” (Transactional Leadership) ในบางสถานการณ์ การให้รางวัลและลงโทษที่ชัดเจน ยังคงได้ผลดีมาก โดยเฉพาะในทีมขายหรืองานที่วัดผลด้วยตัวเลข – Case Study จริง : ยุคแรกๆ ของ Snapchat พนักงานขายได้คอมมิชชั่น 1% จากยอดขายโฆษณา บางคนรายได้พุ่งเป็นหลักล้าน หรือที่ LinkedIn พาทีมขาย Top Performance ไปเที่ยวบาหลีฟรี แต่จำไว้ว่า ใช้แบบนี้ต้องมี “ความยุติธรรม” กฎต้องชัดเจน ใครทำได้ก็ได้รางวัล ไม่มีเล่นพรรคเล่นพวก
4. “ปล่อยให้ลอย แต่ไม่ใช่ปล่อยให้จม” (Laissez-Faire Leadership) นี่คือสไตล์ที่ท้าทายที่สุด ไม่มีการสั่งงาน ให้ทีมจัดการกันเอง บริษัทเกม Valve ใช้แบบนี้ พนักงานเลือกเองว่าจะทำโปรเจคไหน **ข้อควรระวัง : ใช้ได้แค่กับทีมที่ “ผู้ใหญ่จริงๆ” คือมีความรับผิดชอบสูงมาก ไม่งั้นจะกลายเป็น “ไม่มีใครทำอะไร มองหน้ากันอย่างเดียว” ถ้าทีมคุณยังไม่พร้อม อย่าเพิ่งใช้ เริ่มจากการให้อิสระในงานเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายวงออกไป
5. “ความลับของการ Networking ให้ก่อน ห้ามขอ นี่คือบทเรียนที่คนส่วนใหญ่พลาดกันเลยนะคะ การสร้างเครือข่ายไม่ใช่การเข้าไป “ขอนามบัตร” หรือ “ขอความช่วยเหลือ” แต่เป็นการ “ให้คุณค่าก่อน”
– ตัวอย่าง นักศึกษา Stanford คนหนึ่ง อ่านเจอบทความเกี่ยวกับ LinkedIn ที่น่าสนใจ เธอส่งให้อาจารย์ที่สอนวิชานี้อยู่พอดี อาจารย์ตอบกลับใน 15 นาที “ขอบคุณมาก ผมจะเอาไปใช้สอนเลย”
– การกระทำเล็กๆ นี้ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าการไปงานเลี้ยง networking 100 ครั้ง ทริคง่ายๆ ที่ทำได้วันนี้
– เจอบทความดีๆ ? ส่งให้คนที่จะได้ประโยชน์
– มีความรู้เรื่องไหน? เขียนสรุปแชร์ใน LinkedIn
– รู้จักคน 2 คนที่ควรรู้จักกัน? แนะนำให้เขารู้จักกัน
ที่มา : เฟส สรุป 1 หน้า
