ปีนี้เมืองไทยทั่วประเทศมีปริมาณของฝนและพื้นที่น้ำท่วมขังน้ำเอ่อล้นตลิ่งค่อนข้างเยอะเลยนะคะ ทำให้เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับไฟรั่ว ไฟดูดกันค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การระมัดระวังและป้องกันตัวเอง อีกทั้งรู้ทันจุดไฟรั่ว ลัดวงจร ไฟฟ้าช็อต ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ควรต้องระมัดระวังกันให้มากๆเลยค่ะ หมั่นตรวจเช็กจุดเสี่ยงไฟรั่วอันตรายเสี่ยงไฟดูด โดยเฉพาะอุปกรณ์อันตรายในบ้าน ที่อาจเสี่ยงตามกาลเวลาใช้งานนะคะดังนั้นเรามาดู จุดสังเกตไฟฟ้ารั่วไหล และวิธีปฐมพยาบาลผู้ป่วยถูกไฟดูดหมดสติกันค่ะ
จุดเสี่ยงไฟดูดต้องระวัง
– เสาไฟฟ้า,รั้วไฟฟ้า กรณีที่มีน้ำท่วมขังบริเวณแนวเสาไฟฟ้ารั้วไฟฟ้าควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากอาจมีไฟฟ้ารั่วได้
– กริ่งหน้าประตู แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่สูง ห่างไกลจากการถูกน้ำท่วมขังก็จริง หากเราใช้งานในขณะที่มือเปียกนั้น อาจโดนไฟฟ้าดูดได้เช่นกัน
– โคมไฟสนาม เป็นอีกจุดที่ควรเฝ้าระวัง เพราะกรณีที่เกิดไฟฟ้ารั่วนั้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ติดตั้งไม่ได้คุณภาพ เมื่อเข้าสู่หน้าฝนที่สนามหญ้าเปียกชื้น เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วก็กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงได้เช่นกัน
– เครื่องปั๊มน้ำ หากมีการใช้งานเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพอุปกรณ์อาจมีการเสื่อมตามกาลเวลาและเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เสี่ยงไฟรั่วได้
วิธีการช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร
– อย่าแตะต้องผู้ป่วยด้วยมือเปล่า ควรสังเกตบริเวณโดยรอบว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงอันตรายหรือไม่
– หากพบต้นตอหรืออุปกรณ์ที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจร รีบตัดกระแสไฟฟ้าโดยเร็วและหากไม่รู้วิธีตัดกระแสไฟ ควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วย
– หาวัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น ถุงมือยาง,ผ้า,ไม้,เชือกที่ไม่เปียกน้ำ เพื่อใช้ในการสัมผัสผู้ป่วย หรือดึง ผลักผู้ป่วยในออกจากบริเวณที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วโดยเร็ว
กรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว และไม่หายใจควรทำตามขั้นตอนดังนี้
– จับผู้ป่วยนอนราบในพื้นที่โล่ง มีอากาศถ่ายเท ปลดผ้าพันคอหรือเข็มขัดเพื่อให้ระบบหายใจทำงานได้สะดวก จากนั้นคลำบริเวณกลางหน้าอกผู้ป่วย หาส่วนที่กระดูกอกที่ต่อกับกับกระดูกซี่โครง ด้วยการใช้นิ้วสัมผัสชายซี่โครงไล่ขึ้นมา
– วางนิ้วชี้และนิ้วกลางที่กระดูกซี่โครงที่ต่อกับกระดูกอกส่วนล่าง วางสันมือทับบริเวณนั้นที่เป็นตำแหน่งในการกดนวดกระตุ้นหัวใจ
– ประสานมืออีกข้าง วางซ้อนลงหลังมือที่วางในตำแหน่งที่จะปั๊มหัวใจ เหยียดแขนให้ตั้งฉากกับหน้าอก โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงขณะที่กดหน้าอกผู้ป่วย
– การในปั๊มหัวใจผู้ป่วยให้ได้จังหวะที่สม่ำเสมอให้นับจังหวะการสูบฉีดเลือดเข้าออกจากหัวใจพอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการด้วยการนับหนึ่งแล้วกดลงไป การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพควรทำดังนี้
◦ กดลึก 1-3 ของความหนาหน้าอก
◦ กดด้วยความเร็ว 100-120 ครั้ง/ นาที
◦ ปล่อยให้หน้าอกขายยกลับสุด
◦ หยุดกดหน้าอกไม่เกิน 10 วินาที
– การเป่าปากควรทำสลับกับการนวดหัวใจทุก ๆ 30 ครั้งแล้วเป่าปาก 2 ครั้ง ทำสลับกันแบบนี้ให้ครบ 5 รอบและประเมินการหายใจของผู้ป่วย หากพบผู้ป่วยยังไม่หายใจ ให้ทำการกดหน้าอกเพื่อปั๊มหัวใจต่อ หากพบว่าผู้ป่วยหายใจแล้ว ให้จัดท่านอนพักฟื้นให้ผู้ป่วย
– รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล