บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง ราคาแบตเตอรี่รถ EV คาดว่าจะลดลงเกือบ 50% ในปี 2026 กันนะคะ โดยราคาแบตเตอรี่รถ EV ถูกคาดการณ์ว่าจะลดลงเกือบ 50% ในปี 2026 นะคะ ซึ่ง Goldman Sachs ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของราคาที่น่าจะลดลงนี้ว่ามาจากประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้น และราคาโลหะที่ใช้เป็นวัตถุดิบลดลงนั่นเองค่ะ อีกทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทำให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเพิ่มความหนาแน่นพลังงานได้ รวมกับราคาโลหะสีเขียวที่ลดลง จะทำให้ราคาแบตเตอรี่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ตามรายงานของ Goldman Sachs Research Goldman Sachs ได้รายงานว่า ราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกได้ดังนี้
– ปี 2022 ราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 153 ดอลลาร์ (ประมาณ 5,243 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh)
– ปี 2023 ราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 149 ดอลลาร์ (ประมาณ 5,106 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh)
– ในปี 2024 ราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกถูกคาดการณ์ว่าจะลดลงเหลือ 111 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,804 บาท)
– ในปี 2026 ราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกถูกคาดการณ์ว่าจะลดลงเหลือ 80 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,742 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
เหตุผลที่ราคาแบตเตอรี่รถ EV ลดลงเร็วเกินคาด มีปัจจัยที่ทำให้ราคาแบตเตอรี่รถ EV ลดลงอย่างรวดเร็วมาจาก 2 สาเหตุหลักคือ
1. นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ๆ ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้นประมาณ 30% และต้นทุนที่ต่ำลง
2. ราคาโลหะที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลิเธียมและโคบอลต์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60% ของต้นทุนแบตเตอรี่ เหตุผลที่ทำให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้ นวัตกรรมเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของแบตเตอรี่ทำให้เซลล์กำลังมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติแล้วแบตเตอรี่จะบรรจุเซลล์จำนวนมากลงในโมดูลขนาดเล็ก จากนั้นนำโมดูลจำนวนมากมาใส่ในแบตเตอรี่แพ็คขนาดใหญ่ แต่ในตอนนี้ผู้ผลิตกำลังพยายามทำแบตเตอรี่แบบเซลล์-ทู-แพ็ค (Cell-to-pack) โดยตรง ซึ่งช่วยให้ประหยัดพื้นที่ภายในได้เล็กน้อย ดังนั้นจึงลดต้นทุนด้วยโครงสร้างที่เรียบง่ายมากขึ้นและเพิ่มพลังงานของแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน
แบตเตอรี่ประเภทใดที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
ปัจจุบันแบตเตอรี่ประเภทลิเธียมครองตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้เป็น
– แบตเตอรี่แบบนิเกิล ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 60%
– แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 35-40%
– แบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Sodium ion) เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ใช้ลิเธียม แต่ปัจจุบันยังผลิตได้น้อยมาก และยังไม่มีแผนที่จะผลิตในปริมาณมาก
อนาคตของแบตเตอรี่รถ EV ในอนาคต แบตเตอรี่โซลิดสเตต (Solid state batteries) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และปลอดภัยกว่าเล็กน้อยเพราะไม่มีอิเล็กโทรไลต์เหลวที่ติดไฟได้ เดิมที Goldman Sachs ได้คาดการณ์ว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ เช่น โซลิดสเตต จะครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 5-10% ร่วมกับแบตเตอรี่โซเดียมไอออน แต่มันกลับยังไม่เกิดขึ้น เดิมทีแบตเตอรี่โซลิดสเตตควรจะออกสู่ตลาดก่อนหน้านี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายทศวรรษนี้ เนื่องจากความท้าทายในผลิตระดับอุตสาหกรรม
ในระหว่างนี้ แบตเตอรี่ที่ใช้ลิเธียมจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่โซลิดสเตตยากที่จะเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีที่มีอยู่ Goldman Sachs ปรับเพิ่มการคาดการณ์สำหรับแบตเตอรี่ LFP เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 41% เป็น 45% ในปี 2025 โดยแบตเตอรี่นิเกิลยังคงครองตลาดที่สูงกว่า อุปสรรคในการแข่งขันในตลาดแบตเตอรี่รถ EV มีหลายเหตุผลที่ทำให้อุปสรรคการเข้าสู่ธุรกิจแบตเตอรี่ใช้เวลาประมาณ 10 ปีระหว่างการวิจัยและพัฒนาระยะเริ่มต้นสู่การผลิตเพื่อใช้งานจริงในครั้งแรก และใช้เวลานานกว่านั้นในการบรรลุระดับคุณภาพที่ดี การผลิตจำนวนมากเป็นทักษะที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เราได้เห็นบริษัทที่ดำเนินงานในอุตสาหกรรมนี้มานาน 10 ถึง 15 ปี แต่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน แม้ว่าจะเริ่มผลิตได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการยกระดับผลผลิตที่ดีและโครงสร้างต้นทุนที่ดี
นอกจากนี้ยังมีความท้าทายด้านการหาแรงงานที่มีทักษะในอุตสาหกรรมนี้ มี 5 บริษัทที่ควบคุมส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 80% ซึ่งแต่ละแห่งอยู่ในอุตสาหกรรมมานานกว่า 2 ทศวรรษ และพวกเขาได้เพิ่มการใช้จ่าย R&D อย่างจริงจังในช่วงสามถึงห้าปีที่ผ่านมา นั่นคืออุปสรรคที่ยากลำบากสำหรับคนอื่นที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้
ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงจะกระตุ้นตลาดรถ EV อีกครั้งได้หรือไม่ ?
เมื่อพิจารณาที่ค่าใช้จ่ายของรถ EV และรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ผู้คนก็มักจะมองไปที่ค่าเชื้อเพลิงสำหรับรถ EV ในแง่ของการประหยัดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง แต่สิ่งที่หลายคนไม่ได้คำนึงถึงในอดีตคือ ความกังวลของผู้บริโภคในเรื่องของการเสื่อมราคาของ EVs ที่เกิดขึ้นอย่างเร็วขึ้น เพราะผู้บริโภคคิดว่าพวกเขาสามารถซื้อ EV ที่ถูกกว่าได้ในอีกสามปีข้างหน้า จากการคาดการณ์ว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงอย่างรวดเร็ว และสมมติว่าราคาน้ำมันยังคงค่อนข้างสูง ก็เชื่อว่า ตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ราคาของรถ EV และรถนํ้ามันจะเริ่มต้นขยับมาใกล้เคียงกันมากในปี 2026 และเชื่อได้ว่าปี 2026 คือช่วงเวลาที่การยอมรับรถ EV ของผู้บริโภคจะเริ่มขึ้นจะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นอย่างชัดเจนค่ะ
ที่มา : goldmansachs.com