มลภาวะทางอากาศอย่างฝุ่น PM2.5 กลับมากวนใจและกวนสุขภาพกันอีกแล้วนะคะ และดูเหมือนว่าในปีนี้ ยิ่งเจองานหนักกว่าปีที่ผ่านมาอีกนะคะ ค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งทะลุกันสูงสูดเกือบทั่วประเทศไทยในตอนนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) หรือเครื่องกรองอากาศ จึงจัดเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการต่อสู้กับทั้งฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงเชื้อไวรัส และแบคทีเรียในอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ ของผู้คนในปัจจุบันนี้เลยนะคะ
ดังนั้นการเลือกเครื่องฟอกอากาศ PM2.5 เพื่อป้องกันฝุ่นขนาดเล็ก ที่เหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึง เพื่อให้ได้เครื่องฟอกอากาศที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเองค่ะ แต่ก่อนจะซื้อเครื่องฟอกอากาศนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเลือกซื้อแบบไหนถึงจะดี? หรือควรคำนึงถึงปัจจัยไหนกันบ้าง ? บทความนี้มีคำตอบมาแนะนำให้ทุกคนนะคะ มาดูกันเลยค่ะ
ก่อนอื่นเลย เราทำความรู้จักกับ เครื่องฟอกอากาศกันก่อนนะคะ ว่า คืออะไร ?
เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier)
คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งสกปรก สิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยการดูดอากาศเข้าไปในตัวเครื่องแล้วดักจับสิ่งสกปรกเหล่านั้น และปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาแทนที่นั่นเองค่ะ
และต่อไปเรามาดูข้อดี และประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศกันค่ะ
3 ข้อดีของการใช้เครื่องฟอกอากาศ
1. ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์มากขึ้น
ข้อดีที่โดดเด่นที่สุดของเครื่องฟอกอากาศ คือ ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น ช่วยกำจัดฝุ่นละออง สิ่งแปลกปลอมทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็นในอากาศได้ค่ะ
2. ลดสารก่อภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้ในอากาศจากฝุ่นละออง และไรฝุ่นเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี การใช้เครื่องฟอกอากาศจึงช่วยดักจับฝุ่นละอองช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้นั่นเองค่ะ
3. ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น
หลังจากเครื่องฟอกอากาศกำจัดสิ่งแปลกปลอม และปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาแทนที่แล้ว จะทำให้ปอดได้รับอากาศบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ปอดสามารถทำงานได้ดีขึ้น และ เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเองค่ะ
มาดู 5 วิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้ตรงกับการใช้งาน และป้องกัน PM2.5 กันค่ะ
วิธีเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ ป้องกัน PM2.5 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงได้แก่
1. พื้นที่ใช้งาน
ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศ ที่มีขนาดเหมาะกับพื้นที่ภายในห้อง เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศ ถูกออกแบบมาให้ทำงานตามขนาดพื้นที่ เช่นเดียวกับเครื่องปรับอากาศ จึงควรเลือกแบบที่ฟอกอากาศได้ทั่วทั้งห้องไม่เล็ก หรือใหญ่จนเกินไป เพื่อไม่ให้กินไฟมากจนเกินพอดีค่ะ
2. ความเร็วในการฟอกอากาศ
ค่า CADR หรือค่า Clean Air Delivery Rate หรือ ค่าปริมาณอากาศที่เครื่องสามารถเปลี่ยนถ่ายได้ใน 1 นาที ควรเลือกแบบที่มีตัวเลขสูง เพราะมีประสิทธิภาพการฟอกอากาศที่ดี และควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า Air Flow หรือค่าความเร็วลมสูงเช่นกัน เพราะจะใช้เวลากรองอากาศน้อยลงนั่นเองค่ะ
3. แผ่นกรองฝุ่น
สำหรับการรับมือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 นั้น ควรเลือกแผ่นกรองฝุ่นที่มีความละเอียดสูง โดยแผ่นกรองฝุ่นที่ได้รับความนิยมในยุคนี้คือ HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter) เพราะสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอนนั่นเองค่ะ
4. การออกแบบ
น้ำหนักและเสียง นอกจากการใช้งานที่มีประสิทธิภาพแล้ว ก็ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับการตกแต่งภายในบ้าน และมีน้ำหนักไม่มากเกินไป เพื่อสามารถจะเคลื่อนย้ายได้สะดวก รวมถึงควรเลือกเครื่องฟอกอากาศ ที่ไม่มีเสียงรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันที่ประมาณ 30-31 เดซิเบลนะคะ
5. อะไหล่ และการซ่อมบำรุง
เนื่องจากอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงแผ่นกรองฝุ่นนั้นต้องเปลี่ยนตามอายุการใช้งาน จึงควรคำนึงถึงการรับประกัน และการซื้ออะไหล่ด้วยราคาที่เหมาะสม เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงนั่นเองค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับคำแนะนำด้านบน หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ ในเมื่อทุกวันนี้เราต่างต้องเผชิญกับมลพิษต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ หมั่นดูแลตัวเองและครอบครัวนะคะ