ทุกวันนี้ หลายคนคงชินกับการเฝ้ารอโปรโมชันดี ๆ บนหน้าจอมือถือในวัน 11.11 แต่ก่อนหน้านั้นหลายทศวรรษ โลกรู้จักมหกรรมชอปปิงที่ชื่อว่า ‘Black Friday’ กันแล้วนะคะ

Black Friday หรือวันศุกร์ทมิฬนั้น ตรงกับวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ของทุกปีในสหรัฐอเมริกา เมื่อ Black Friday มาถึง ราคาสินค้าแทบทุกประเภทจะ “ลดสะบั้นหั่นแหลก” เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ชาวอเมริกันหลายคนจึงใช้โอกาสนี้ซื้อของขวัญเตรียมไว้แจกเด็ก ๆ ในวันคริสต์มาส นอกจากจะประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ก็ยังทำหน้าที่ผู้ใหญ่ใจดีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องอีกด้วยนะคะ
Black Friday และแผน “โกงตลาดทอง” ยุคหลังสงครามการเมืองอเมริกา คำว่า ‘Black Friday’ นั้นมีจุดกำเนิดจากเหตุการณ์ตลาดทองสหรัฐล้มช่วงปลายทศวรรษที่ 1860 ตอนนั้น ประธานาธิบดียูลิซิส เอส. แกรนต์ (Ulysses S. Grant) พยายามสานต่อนโยบายของรัฐบาลก่อนหน้าในการพื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหลังสงครามกลางเมือง (American Civil War – ค.ศ. 1861-1865) จบลง มาตรการหนึ่งที่แกรนต์ทำก็คือ ใช้ทองซื้อเงินกระดาษ ‘กรีนแบ็กส์ (greenbacks)’ ที่ใช้ในช่วงสงครามคืนจากประชาชน จากนั้น จึงนำ ‘เงินตราธนบัตรที่มีทองค้ำ (currency backed by gold)’ อัดฉีดกลับสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกัน นักการเงินนามว่าเจย์ กูลด์ (Jay Gould) และจิม ฟิสก์ (Jim Fisk) อยากเก็งกำไรทองและกักตุนไว้เพื่อปล่อยขายยามราคาสูง แต่ถ้าประธานาธิบดีแกรนต์ดำเนินมาตรการเงินกระดาษแลกทองนี้ ก็จะมีทองในตลาดมากขึ้น และราคาทองจะตกลง ดังนั้น ทั้ง 2 คนจึงพยายามหยุดยั้งไม่ให้แกรนต์ปล่อยทองออกสู่ตลาด และแผนการของพวกเขาก็คือ “เสี้ยมประธานาธิบดีผ่านน้องเขยของเขาเอง” กูลด์และฟิสก์ชักชวนนักการเงินอีกคนหนึ่งที่ชื่ออาเบล คอร์บิน (Abel Corbin) – ซึ่งเป็นน้องเขยของประธานาธิบดีแกรนต์ – มาร่วมแผนการนี้ด้วย เมื่อบ้านคอร์บินมีงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ นักการเงิน (หัวหมอ) เหล่านี้ก็จะเข้าใกล้แกรนต์และพูดถึงเรื่องนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาล นอกจากคอร์บินจะช่วยหนุนกูลด์และฟิสก์แล้ว ก็ยังโน้มน้าวให้แกรนต์แต่งตั้งพรรคพวกให้ทำงานในกระทรวงการคลัง หากรัฐบาลตัดสินใจขายทอง ก็จะมีสายคอยเตือนนักการเงินเหล่านี้ให้ไหวตัวได้ทัน
อย่างไรก็ดี เมื่อแกรนต์เริ่มสงสัยคอร์บิน – ผู้เป็นน้องเขย – และเจอจดหมายที่น้องสาวตัวเองคุยกับภรรยา เขาก็ตระหนักได้ว่าถูกหลอกเข้าแล้ว จึงบอกให้คอร์บินหยุดแผนการเสีย ตัดมาที่กูลด์และฟิสก์ พวกเขาซื้อทองสะสมไว้เรื่อย ๆ และราคาก็ไต่ขึ้นตามที่พวกเขาวางแผน จนมาถึงวันศุกร์ที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1869 ราคาทองต่อออนซ์นั้นแพงกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐจากราคาทองเมื่อตอนที่แกรนต์เข้ารับตำแหน่ง แต่พอรัฐบาลปล่อยขายมูลค่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐปุบ ฟองสบู่ก็แตกภายในไม่กี่วินาที จนกลายเป็น ‘Black Friday แห่ง Wall Street’ นักลงทุนต่างล้มละลายจากเหตุการณ์ Black Friday นี้ รวมถึงคอร์บินที่สูญเสียเงินไปมหาศาล ส่วนฟิสก์นั้นก็ถูกยิงเสียชีวิต 3 ปีให้หลังเนื่องจากไปทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักการเงินอีกคนหนึ่งถึงเรื่องเงินทองและผู้หญิง คนที่รอดพ้นจากหายนะทางการเงินนี้คือกูลด์ ที่ได้ทำงานด้านการเงินและกิจการรถไฟในหลายบริษัท

ในเวลาต่อมา คำว่า Black Friday ปรากฏในสังคมอเมริกันอีกครั้งราว 8 ทศวรรษให้หลัง ซึ่งใกล้เคียงกับนิยามของ Black Friday ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ช่วงทศวรรษที่ 1950-60 ตำรวจในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เรียกวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้าว่า ‘ศุกร์ทมิฬ’ หรือ ‘Black Friday’ เนื่องจากทั้งนักท่องเที่ยวและคนในรัฐต่างหลั่งไหลเข้าเมืองมาซื้อข้าวของ และคนจำนวนไม่น้อยก็รอชมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างกองทัพบกและนาวิกโยธิน (Army-Navy Game) ซึ่งจัดขึ้นตามมาในวันเสาร์ ตำรวจจึงต้องทำงานล่วงเวลา รับมือกับการจราจรและสภาพอากาศย่ำแย่ รวมถึงคอยจัดการกับเหตุจลาจลคนคลั่งต่าง ๆ ในพื้นที่
บรรดาร้านค้าและผู้ประกอบการพยายามเปลี่ยนชื่อ Black Friday เป็น ‘Big Friday (มหาศุกร์)’ เพื่อล้างภาพจำที่ไม่ดีของศุกร์ทมิฬหลังวันขอบคุณพระเจ้า แต่ชื่อ Big Friday กลับไม่ติดหูลูกค้าเสียเท่าไหร่ แล้วชื่อ Black Friday ก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ เกิดแนวคิดที่ว่า Black Friday นั้นจะเป็นวันที่ธุรกิจการค้าต่าง ๆ “ทำยอดได้จากแดงเป็นดำ” เพราะในภาษานักธุรกิจอเมริกันนั้น สีแดงคือตัวเลขขาดทุนหรือหนี้ ส่วนสีดำคือกำไรนั่นเอง หลายคนจึงเชื่อคอนเซ็ปต์นี้ จนกลายเป็นมายาคติหนึ่งเบื้องหลัง Black Friday Black Friday เป็นจุดเริ่มต้นกลาย ๆ ของแคมเปญส่งเสริมการขายทั่วโลกในปัจจุบัน เช่น
– Cyber Monday หรือโปรโมชันลดราคาสินค้าออนไลน์ ทุกวันจันทร์แรกหลังวันขอบคุณพระเจ้าที่สหรัฐฯ
– El Buen Fin (สุดสัปดาห์สุดดี) ซึ่งเป็นโครงการภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงวันหยุดครบรอบปฏิวัติเม็กซิโก ทุกวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน
– White Friday ในตะวันออกกลางที่ตรงกับ Black Friday แต่เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว เพราะวันศุกร์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลาม
– Singles’ Day (วันคนโสด 11.11) ที่กำเนิดขึ้นในจีนช่วงทศวรรษที่ 1990 และกลายเป็นกลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่สร้างมูลค่าสูงที่สุดของโลก แซงหน้า Black Friday ไปแล้ว
Black Friday หรือแผนส่งเสริมการขายใด ๆ ย่อมสร้างผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ฝ่ายหนึ่งได้เพิ่มยอดขายและระบายสินค้าในคลัง ส่วนอีกฝ่ายนั้นก็ได้สินค้าข้าวของในราคาถูกลง ทั้งนี้ สิ่งที่ลูกค้าอย่างเรา ๆ พึงระลึกไว้เสมอคือ ต้องชอปอย่างมีระเบียบวินัยทางการเงิน และซื้อเท่าที่จำเป็น ไม่เช่นนั้นก็อาจสร้างภาระให้ตัวเองเพิ่มอย่างไม่รู้ตัวนะคะ

