บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง มารู้จักกับ Cloudflare ล่มทีสะเทือนทั้งวงการกันนะคะ ต้นเหตุของเหตุการณ์เครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่มครั้งใหญ่นี้ เกิดจากข้อผิดพลาดภายในระบบของ Cloudflare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะระบบ Tenant Service API ที่ใช้ประมวลผลและจัดการคำสั่ง API ให้บริการแก่ลูกค้า ปัญหาเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อบั๊กใน React useEffect hook ทำให้แผงควบคุม (Dashboard) ของ Cloudflare เรียก API ซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ระบบ Tenant Service ถูกโหลดเกินกำลังและล่มไปในที่สุด เมื่อระบบล่ม การตรวจสอบสิทธิ์ของ API ทั้งหมดล้มเหลวและทำให้เกิดข้อผิดพลาด 500 (เซิร์ฟเวอร์ล้มเหลว) กว้างขวางในบริการของ Cloudflare

 

 

ผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักอย่าง “X” (เดิมคือ Twitter) ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ชั่วคราว ซึ่งเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาบริการหนึ่งเดียวที่เป็นเสมือนโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้และเว็บไซต์จำนวนมากยึดถือ และยังเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Cloudflare ประกาศจะพัฒนาเครื่องมือมอนิเตอร์และระบบป้องกันข้อผิดพลาดให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

 

 

มารู้จักกับ Cloudflare ล่มทีสะเทือนทั้งวงการ Cloudflare คืออะไร ?

 

 

 

Cloudflare คือตัวกลางที่เป็นแหล่งกระจายเพื่อให้เข้าเว็บไซต์ได้ ในทางเทคนิค Cloudflare ให้บริการหลักๆ 3 ส่วน ดังนี้

 

1. CDN (Content Delivery Network)

แทนที่จะให้ผู้ใช้งานทุกคนวิ่งไปดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์หลัก (Origin Server) ที่อาจจะตั้งอยู่อเมริกา Cloudflare จะก๊อปปี้ข้อมูลหน้าเว็บ (Cache) ไปวางไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ของตัวเองที่มีอยู่ทั่วโลก (Edge Server) เมื่อคนไทยเข้าเว็บ ก็ดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ในไทย ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นมหาศาล

 

 

 

2. Security & DDoS Protection Cloudflare

ทำหน้าที่เป็นโล่กำบัง (Reverse Proxy) คอยกรอง Traffic ว่าใครคือคนจริงๆ ใครคือแฮกเกอร์ หรือใครคือบอทที่ยิงถล่ม (DDoS) ก่อนที่จะปล่อยให้ผ่านไปถึงเซิร์ฟเวอร์จริง

 

3. DNS (Domain Name System) 

บริการแปลงชื่อเว็บเป็น IP Address (เช่น1.1.1.1 อันโด่งดัง) ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากขึ้น

 

เหตุผลที่เว็บไซต์ทั่วโลกเลือกใช้ Cloudflare

 

 

– ความเร็ว การใช้ Cloudflare จะช่วยลด Latency ได้จริง ทำให้เว็บโหลดไว UX ดีขึ้น

– ความปลอดภัย (Security): ป้องกันการโจมตีได้เกือบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ DDoS Attack ขนาดใหญ่

– ประหยัด Bandwidth: เพราะ Cloudflare ส่งข้อมูล Cache ให้ลูกค้าแทน เจ้าของเว็บจึงประหยัดค่า Data Transfer ที่เซิร์ฟเวอร์หลัก

– ฟรีและง่าย: มีแพ็กเกจฟรีที่ทรงพลังมากพอสำหรับเว็บทั่วไป ทำให้ Market Share สูงลิ่ว

 

 

ผลกระทบเมื่อ Cloudflare “ล่ม”

 

 

 

Cloudflare เป็นเหมือน “ด่านหน้า” ของเว็บไซต์มหาศาล (ข้อมูลระบุว่าดูแล Traffic ราวๆ 20% ของทั้งโลกอินเทอร์เน็ต) เมื่อเกิดปัญหาระบบล่ม ผลกระทบจึงรุนแรงเป็นลูกโซ่ ดังนี้

1. เว็บไซต์และแอปพลิเคชันเข้าใช้งานไม่ได้ กระทบที่เห็นชัดที่สุด ผู้ใช้จะเจอหน้าจอ Error 500 หรือ 502 Bad Gateway เพราะเบราว์เซอร์พยายามเชื่อมต่อผ่าน Cloudflare แต่ “ด่านหน้า” ไม่ตอบสนอง ทำให้ไปไม่ถึงเซิร์ฟเวอร์จริง

2. API พัง (Backend Failure) ไม่ใช่แค่หน้าเว็บ แต่บริการเบื้องหลัง (Backend) ของแอปมือถือจำนวนมากเรียกใช้ API ผ่าน Cloudflare เมื่อระบบล่ม แอปธนาคาร, แอปสั่งอาหาร หรือระบบล็อกอิน อาจจะใช้งานไม่ได้ แม้หน้าตาแอปจะเปิดขึ้นมาได้ปกติก็ตาม

3. ผลกระทบเชิงธุรกิจ (Business Impact) จะมีผลกระทบมากมายเช่น เว็บ E-commerce ที่ล่มไป 1 ชั่วโมง อาจหมายถึงยอดขายหายไปหลายล้านบาท ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าเป็นที่ Cloudflare แต่จะโทษว่า “แอปนี้ห่วย” หรือ “เว็บนี้ล่มบ่อย” และแพลตฟอร์มเทรดคริปโตฯ หรือหุ้น มักใช้ Cloudflare เพื่อความปลอดภัย หากล่มในช่วงตลาดผันผวน ย่อมเกิดความเสียหายต่อนักลงทุน

4. ช่องโหว่ความปลอดภัยชั่วคราว หากระบบป้องกันล่ม (WAF Down) แฮกเกอร์อาจฉวยโอกาสนี้โจมตีเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง (ถ้าทราบ IP จริง) แต่โดยปกติ Cloudflare ออกแบบมาให้ “Fail Closed” คือถ้าพังก็ตัดการเชื่อมต่อเลย เพื่อความปลอดภัยมากกว่าจะปล่อยให้ Traffic รั่วไหล

 

การที่โลกอินเทอร์เน็ตพึ่งพาบริการจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Cloudflare (หรือเจ้าอื่นๆ อย่าง AWS, Google Cloud) ช่วยยกระดับมาตรฐานเว็บให้เร็วและปลอดภัยขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สร้าง Single Point of Failure (จุดตายจุดเดียว) ขึ้นมาได้เช่นกันนะคะ ­