บทความนี้จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง มารู้จักกับ UFCS 2.0 มาตรฐานชาร์จเร็วใหม่ 40W จากความร่วมมือของ 4 แบรนด์ดัง Huawei, Honor, OPPO และ Vivo กันนะคะ พร้อมแล้วตามมาดูกันเลยค่ะว่า UFCS 2.0 คืออะไร?

 

 

มาตรฐานชาร์จเร็วใหม่ 40W จากความร่วมมือของ 4 แบรนด์มือถือดังจากจีน ได้แก่ Huawei, Honor, OPPO และ Vivo ได้ร่วมมือกันเปิดตัวมาตรฐานการชาร์จเร็วแบบใหม่ที่เรียกว่า UFCS 2.0 นั่นเองค่ะ

มารู้จักกับ UFCS 2.0 มาตรฐานชาร์จเร็วใหม่ 40W จากความร่วมมือของ 4 แบรนด์ดัง Huawei, Honor, OPPO และ Vivo UFCS 2.0 คืออะไร UFCS 2.0 (Universal Fast Charging Standard) พัฒนาร่วมกันโดย Huawei, Honor, OPPO และ Vivo มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานการชาร์จที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับอุปกรณ์มือถือในประเทศจีน สามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จร่วมกันได้โดยไม่ต้องแยกเฉพาะแบรนด์ โดยในอดีต แบรนด์ต่างๆ มักจะเสนอโซลูชันและเทคโนโลยีเฉพาะของตนเอง ส่งผลให้เกิดมาตรฐานที่ไม่เข้ากันและค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปสำหรับผู้ใช้ ดังนั้น UFCS จะช่วยลดการแบ่งแยกดังกล่าวลงได้ อย่างน้อยก็ภายใน 4 แบรนด์นี้นั่นเองค่ะ

 

 

 

 

จุดเด่นของ UFCS 2.0

– รองรับการชาร์จเร็ว 40W UFCS 2.0 สนับสนุนการชาร์จเร็วที่กำลังไฟสูงสุดถึง 40 วัตต์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะของแต่ละแบรนด์

– ฟีเจอร์ PowerChange ช่วยให้อะแดปเตอร์สามารถปรับกำลังไฟฟ้าโดยอัตโนมัติตามอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เพิ่มความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

– การชาร์จย้อนกลับ (Reverse Charging): อุปกรณ์สามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของตนเองเพื่อชาร์จอุปกรณ์อื่น แม้ว่าจะเป็นคนละแบรนด์ก็ตาม

นั่นหมายความว่าเครื่องชาร์จจะตรวจจับและปรับเอาต์พุตโดยอัตโนมัติตามอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ โดยไม่คำนึงถึงยี่ห้อของอุปกรณ์ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ลดความยุ่งยากที่มักเกิดขึ้นกับอุปกรณ์เสริมสำหรับการชาร์จของบริษัทอื่น

 

 

Screenshot

 

 

ประโยชน์ต่อผู้บริโภค

ช่วยลดปัญหาความไม่เข้ากันของอุปกรณ์ชาร์จจากแบรนด์ต่างๆ ผู้ใช้สามารถใช้สายและอะแดปเตอร์เดียวกันสำหรับหลายอุปกรณ์ได้ สะดวก ประหยัด และลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และถึงแม้ว่า UFCS 2.0 จะเป็นการพัฒนาก้าวสำคัญในจีน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกนำไปใช้ในระดับโลกหรือไม่นะคะ โดยเฉพาะในตลาดที่มีรายใหญ่อย่าง Samsung และ Apple ที่ยังใช้มาตรฐานของตัวเอง ต้องมารอดูกันต่อค่ะว่า เทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้ได้ที่ไทย ในอนาคตหรือไม่กันนะคะ

 

 

 

 

 

ที่มา : GizmoChina