อาหารจีนนั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน และวัฒนธรรมอันหลากหลายของจีน ด้วยมรดกการทำอาหารที่ย้อนหลังไปนับพันปี อาหารจีนได้พัฒนาเป็นการผสมผสานที่สลับซับซ้อนของอาหารพิเศษประจำภูมิภาค เทคนิค และส่วนผสม ทำให้ถูกปากคนทั่วโลกกันเลยนะคะ วันนี้จะนำ 10 อันดับเมนูอาหารจีน ห้ามพลาด มาฝากกันค่ะ จะมีเมูไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

 

10 อันดับเมนูอาหารจีน ห้ามพลาด

 

 

1. หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน (Tang Cu Pai Gu หรือ Sweet & Sour Pork)

เป็นเมนูที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นอาหารประจำบ้านของชาวจีนที่ทำง่าย ได้แก่ “หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน  (Tang Cu Pai Gu)” หรือ ที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ “Sweet & Sour Pork”

 

 

หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน เป็นเมนูอาหารจีน จากมณฑลเสฉวน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อาหารจีนเสฉวน มักจะมีรสชาติไม่เผ็ด เน้นรสชาติที่นุ่มกลมกล่อมซะมากกว่า อย่างไรก็ตาม หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน กลับเป็นเมนูอาหารจีนเสฉวน ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนจนชาปาก ซึ่งเมนูนี้มีรสชาติที่เผ็ดร้อน ผสมผสานกับความเปรี้ยวจากสับปะรด, ซอสมะเขือเทศ และน้ำส้มสายชู ได้อย่างลงตัว เมนูนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับเมนูผัดเปรี้ยวหวานบ้านเราตรงที่ชาวจีนจะใช้เนื้อหมูทอด ที่เมื่อนำมาผัดแล้ว ยังคงความกรอบนอกนุ่มในได้เป็นอย่างดี สามารถทานกับข้าว หรือ ทานเล่นๆ อย่างเดียวก็ได้

2. หม่าโผ่วโตฟู (Mapo Tofu)

หม่าโผ่วโตฟู หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่าผัดเต้าหู้ทรงเครื่องสไตล์เสฉวนนั้น เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารจีนของมณฑลเสฉวนที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ ยังเป็นเมนูอาหารจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ชิงอีกด้วย

 

จุดเด่นของเมนูนี้จะอยู่ที่ “ซอสพริกเสฉวน” หรือ ที่คนพื้นเมืองเรียกว่า “น้ำพริกโต้วป้านเจี้ยง” ซึ่งเป็นน้ำพริกที่เกิดจากการหมักกับถั่วปากอ้า พริก และ เกลือในไหดินเผานานกว่า 1-8 ปี ซึ่งจะมีรสชาติเผ็ดร้อน ถึงปากถึงคอ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เต้าหู้เป็นส่วนผสมหลักของเมนูนี้ สามารถช่วยลดรสเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี ทำให้เมนูอาหารจีนจานนี้ มีรสชาติเผ็ดที่กลมกล่อมนั่นเอง

3. ปูผัดพริก (Chilli Crab)

ปูพัดพริก เป็นอาหารจีนที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเมนูนี้มีจุดเด่นคือการนำปูมาผัด แทนการนิ่งกับซอสมะเขือเทศ และ ผสมพริกลงไปเล็กน้อยเพื่อดับรสชาติความหวานลงได้อย่างลงตัว ซึ่งเมนูนี้ ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก และ ยังเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารจีนระดับภัตตาคารที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลกอีกด้วย

 

 

4. เป็ดปักกิ่ง (Peking Roasted Duck)

“เป็ดปักกิ่ง” เป็นอาหารจีนระดับภัตตคาร ซึ่งหน้าตาของเมนูเป็ดปักกิ่งต้นตำรับจีนแท้ๆ นั้น จะเสิร์ฟเพียงแค่หนังเป็ดที่บางกรอบ สะดุดตาด้วยหนังสีน้ำตาลมันวาวเท่านั้น ซึ่งคนจีนจะทานเป็ดปักกิ่งควบคู่กับแป้งแผ่นบางสำหรับห่อ และ ซอสหวาน หรือ ซอยฮอยซิน นั่นเอง

 

เมนูเป็ดปักกิ่ง มีต้นกำเนิดที่เมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ในสมัยที่ถูกปกครองด้วยราชวงศ์หยวน ซึ่งในสมัยนั้น ได้มีพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่งทำเมนูเป็ดปักกิ่งถวายฮองเต้ของราชวงศ์หยวน และเกิดถูกปาก จนทำให้ฮองเต้ได้นำเมนูเข้าวัง และสงวนไว้เพื่อเป็นเมนูอาหารจีนสำหรับเชื้อพระวงค์ และขุนนางระดับสูงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ได้มีการลักลอบนำเมนูนี้ออกมาขายนอกวัง ทำให้เมนูเป็ดปักกิ่ง เป็นที่เลื่องลือ และ ได้กลายเป็นอาหารจีนที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้
 
5. ยำแมงกะพรุนน้ำมันงา (Sesame Jellyfish)

ยำแมงกะพรุนน้ำมันงา เป็นเมนูอาหารจีนที่นักท่องเที่ยวหลายคนมองข้าม เพราะมองว่าเป็นของสด และไม่ได้ผ่านการทำให้สุก แต่จริงๆ แล้ว เมนูนี้ เป็นอาหารจีนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนจีนแท้ๆ ซึ่งคนจีนจะนิยมทานเมนูนี้เพื่อเป็นAppetizer เรียกน้ำย่อยก่อนจะทานอาหารมื้อใหญ่นั่นเอง

 

เมนูนี้มีจุดเด่นอยู่ที่รสชาติเผ็ด เปรียว มัน และ หวานกำลังดี ซึ่งเป็นรสชาติที่ได้จากการผัดน้ำมันงากับซอสปรุงรสหลากรส อีกทั้งความกรอกและหนุบหนับของเจ้าแมงกะพรุนนี่เอง ทำให้เมนูนี้เป็นเมนูอาหารจีนแนะนำที่คนจีนการันตีความอร่อยนั่นเอง

6. ไก่ผัดถั่วลิสง (Kung Pao chicken)

แม้ว่าเมนูกงเป่าจีติง หรือ ไก่ผัดถั่วลิสง มีจะหน้าตาคล้ายกับเมนูไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์บ้านเรา แต่จริงๆ แล้ว ทั้งสองเมนูนี้กลับมีรสชาติที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่ง กงเป่าจีติง (ไก่ผัดถั่วลิสง ) เป็นเมนูอาหารจีน จากมณฑลกุ้ยโจวที่มีรสชาติจัดจ้าน จุดเด่นอยู่ที่ความหอม และ ความเผ็ดจากเครื่องเทศ และ พริกเสฉวนในทุกคำ บวกกับความมันของถั่วลิสงทอด อย่างลงตัว ซึ่งถึงแม้ว่าเมนูนี้จะใช้พริกเสฉวนเป็นส่วนผสมหลัก แต่ก็ไม่ได้มีรสชาติเผ็ดร้อนเท่ากับเมนูอาหารจีนเสฉวนเมนูอื่น ซึ่งคนจีนว่ากันว่า อาหารจีนกุ้ยโจว จะมีรสเผ็ดเย็น และ สบายท้อง

 

 

7. เสี่ยวหลงเปา (Xiao Long Pao)

เมนูนี้ เป็นเมนูอาหารจีน ประเภท ติ่มซำที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับซาลาเปา ซึ่งจะมีความแตกต่างกันตรงวัตถุดิบที่เลือกใช้ โดย เสี่ยวหลงเปา จะทำมาจากแป้งขนมปัง แตกต่างจากซาลาเปาที่ทำมาจากแป้งข้าวสาลี ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวหลงเปา จึงมีความหนานุ่ม และ เหนียวกว่าซาลาเปานั่นเอง

 

ในปัจจุบัน เสี่ยวหลงเปา มีไส้ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมูหมัก, เห็ด, ผัก หรือ ถั่วแดงเป็นต้น นอกจากนี้ ในแต่ละพื้นที่ต่างก็ทำเสี่ยวหลงเปาที่มีรสชาติแตกต่างกัน เช่น ที่เมืองอู๋ซี จะมีรสชาติออกไปทางหวาน ในขณะที่เมืองฉางโจว จะมีรสชาติที่เน้นความสดของวัตถุดิบนั่นเอง

8. ผัดมังสวิรัติ (หลัว ฮั่น จ่าย)

หลัว ฮั่น จ่าย เป็นเมนูอาหารจีนกวางตุ้ง เพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเมนูนี้ ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสำหรับผู้ทานมังสวิรัติ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่ต้องการอาหารที่หนักท้อง มากนัก

 

จุดเด่นของเมนูนี้ อยู่ที่วัตถุดิบที่ได้ถูกคัดเลือกเพื่อบำรุงสุขภาพของผู้ทานโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้ และ ผักนานาชนิด เช่น บกฉ่อย กะหล่ำปลี หรือ บร็อคโค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ แต่เมนูนี้ ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารจีน โดยการใส่ซอสพริกเข้าไปเล็กน้อย เพื่อรสชาติเผ็ดร้อนตามแบบฉบับของอาหารจีนนั่นเอง

9. ซุปเสฉวน หรือ ซุปไข่หยดน้ำ  

ซุปเสฉวน หรือ ซุปไข่หยดน้ำ เป็นอาหารจีนแนะนำ ระดับภัตตาคารที่ขึ้นชื่อ และแพร่หลายไปยังประเทศฝั่งตะวันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และ อังกฤษ ซึ่งด้วยความที่ซุปมีความอุ่น ผสมกับเนื้อไข่มีถูกตีจนแหลก ทำให้ซุปดังกล่าว กลายเป็นเมนูอาหารคนป่วยที่ได้รับความนิยม  อย่างไรก็ตาม ซุปไข่หยดน้ำต้นฉบับแท้ๆ จากเมืองจีนจะมีรสชาติที่จืดกว่าซุปไข่ในอาหารตะวันตก และมีการนำวัตถุดิบนานาชนิดใส่เข้าไปเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับภูมิภาคนั้นๆ

 

 

10.  บะกุ๊ดเต๋ (Bak kut teh)

หากพูดถึงอาหารจีนที่คนไทยอย่างเรารู้จักกันเป็นอย่างดี แน่นอนว่าจะไม่พูดถึงอาหารจีนยอดนิยมอย่าง บะกุ๊ดเต๋ (Bak kut teh) คงจะไม่ได้ ซึ่งเรามักพบเจอเมนูนี้ในร้านอาหารจีน หรือ ร้านอาหารติ่มซำบ้านเรา  แต่จริงๆ แล้ว เมนูนี้ เป็นเมนูอาหารจีนที่คนจีนทำให้ผู้ป่วย เพื่อเป็นการเสริมกำลังวางชา เพื่อต้านภัยโรคร้ายต่างๆ  โดยคำว่า บะกุ๊ดเต๋ นั้น สามารถแปลตรงตัวได้ว่า “กระดูกหมูและน้ำชา” ซึ่งส่วนประกอบของเมนูนี้ ประกอบไปด้วย ซี่โครงหมูตุ๋น เป่าฮื้อ เต้าหู้ หน่อไม้ทะเล สมุนไพร และ เครื่องเทศกว่า 13 ชนิด ที่ถูกนำมาต้มเข้าด้วยกันกว่า 12 -20 ชั่วโมง จนได้รสชาติที่กลมกล่อม และ น้ำที่เป็นสีดำนั่นเอง